ASIAN ตั้งเป้าปีนี้รายได้โต 10% รุกหนักอาหารสัตว์เลี้ยง เล็งเพิ่มผลิต-M&A

นางสาววรัญรัชต์ อัสสานุพงศ์ ผู้จัดการฝ่ายการเงินและนักลงทุนสัมพันธ์ บมจ.เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น (ASIAN) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปีนี้เติบโต 10% จากปีก่อน เป็นไปตามทุกกลุ่มธุรกิจที่มีการเติบโต โดยธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง (PET FOOD BUSINESS) ยังเติบโตได้จากการรับจ้างผลิต (OEM) ให้กับแบรนด์ชั้นนำระดับโลก ทั้งในกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกและแบบเม็ด ซึ่งในปีที่ผ่านมามีผลิตภัณฑ์ออกใหม่มากกว่า 250 รายการ และปีนี้ก็น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก จากแนวโน้มการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงที่เติบโตขึ้น

ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาเพิ่มกำลังการผลิต จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตอยู่ราว 38,000 ตัน/ปี รองรับกับความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะพิจารณาควบคู่ไปกับแผนการลงทุนเครื่องจักรอัตโนมัติทดแทนแรงงานคน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้ดีขึ้น

อีกทั้งบริษัทจะมุ่งเน้นการทำการตลาด ส่งเสริมการขายอาหารสัตว์เลี้ยงแบรนด์ของตนเอง ภายใต้ตราสินค้า มองชู (monchou) และล่าสุด ฮาจิโกะ อาหารสุนัขราคาย่อมเยาว์ ที่เปิดตัวไปในช่วงปลายปี ให้ติดตลาดทั้งไทยและจีน และมียอดขายเพิ่มมากขึ้น ทำให้โดยรวมคาดว่าธุรกิจดังกล่าวจะมีรายได้เติบโตไม่เกิน 10% หรือคิดเป็นสัดส่วนรายได้ประมาณ 38-40% ของรายได้รวม

ส่วนธุรกิจอาหารแช่แข็ง โดยเฉพาะกลุ่มของทอดแช่เยือกแข็ง หรือ ผลิตภัณฑ์ Pre-fried ก็อยู่ระหว่างเร่งเพิ่มกำลังการผลิตเช่นกัน เนื่องจากปัจจุบันกำลังการผลิตที่ 7,800 ตัน/ปี ค่อนข้างเต็มแล้ว จึงมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตอีกราว 2,000 ตัน/ปี รองรับการเติบโตของลูกค้าเดิม ขณะที่ธุรกิจทูน่าปีนี้คาดว่าน่าจะทรงตัวใกล้เคียงปีก่อน จากข้อจำกัดในเรื่องของแรงงาน ขณะที่อาหารสัตว์น้ำ คาดว่าจะเติบโตได้ค่อนข้างดี

ทั้งนี้ บริษัทวางงบลงทุนในปีนี้ไว้ราว 300-400 ล้านบาท แบ่งเป็น การลงทุนในกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง 200 ล้านบาท และที่เหลือจะเป็นในกลุ่มธุรกิจอาหารแช่แข็ง

นางสาววรัญรัชต์ กล่าวว่า บริษัทยังอยู่ระหว่างพิจารณาลงทุนเข้าซื้อกิจการ (M&A) ในธุรกิจที่จะเข้ามาเพิ่มกำลังการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงในประเทศไทย โดยปัจจุบันเจรจาในเบื้องต้นกับพันธมิตร 2-3 ราย คาดว่าน่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายในปีนี้ ขณะที่งบลงทุนในส่วนนี้ ASIAN วางไว้ราว 500 ล้านบาท แต่หากต้องใช้งบลงทุนมากกว่านี้ก็จะพิจารณากู้เงินจากสถาบันทางการเงินเพิ่มเติม

ส่วนค่าเงินบาทที่ยังคงแข็งค่านั้น บริษัทก็ประเมินว่าค่าเงินบาทในปีนี้น่าจะแข็งค่ามากกว่าปี 63 แต่ค่าเฉลี่ยทั้งปีน่าจะอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 30 บาท/ดอลลาร์ แม้ระหว่างปีอาจหลุดลงไปบ้าง ก็อาจจะทำให้กระทบกับอัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวลดลง แต่บริษัทก็จะพยายามรักษาอัตรากำไรขั้นต้นปีนี้ให้อยู่ที่ระดับ 15% จากปีก่อนที่คาดว่าน่าจะเกินกว่า 15%

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 63 บริษัทมั่นใจว่ารายได้จะเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ 8.4 พันล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 8.33 พันล้านบาท ขณะที่ 9 เดือนที่ผ่านมามีรายได้แล้วราว 6.45 พันล้านบาท โดยคาดผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/63 จะออกมาดีกว่าไตรมาส 3/63

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (19 ม.ค. 64)

Tags: , , ,
Back to Top