ฟิทช์ ประกาศเครดิตพินิจแนวโน้มเป็นบวก ไทยเบฟฯ จากแผน Spin-off ธุรกิจเบียร์

บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ จำกัด ประกาศเครดิตพินิจแนวโน้มเป็นบวกแก่อันดับเครดิตสากลระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศ (International Long-Term Foreign-Currency Issuer Default Rating) ของ บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ หรือ ThaiBev ที่ ‘BBB-’ อันดับเครดิตภายในประเทศ (National Rating) ระยะยาวที่ ‘AA(tha)’ และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ไม่มีประกันและไม่ด้อยสิทธิของบริษัทฯ ที่ ‘AA(tha)’

ฟิทช์ประกาศเครดิตพินิจแนวโน้มเป็นบวกภายหลังจากที่เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2564 ThaiBev ได้ประกาศแผนการนำหุ้นส่วนน้อยของ BeerCo Limited ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่จัดตั้งขึ้นใหม่เพื่อถือครองหุ้นของธุรกิจเบียร์ของ ThaiBev ทั้งหมด ทั้งในประเทศไทยและเวียดนาม ออกเสนอขายแก่ประชาชนทั่วไปและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (Spin-off)

โดย ThaiBev อาจจะได้รับการปรับเพิ่มอันดับเครดิต หากการเสนอขายหุ้นของธุรกิจเบียร์ดังกล่าวประสบความสำเร็จ และส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน (FFO net leverage) ลดลงมาอยู่ในระดับต่ำกว่า 3.5 เท่า ในทางกลับกัน ฟิทช์อาจคงอันดับเครดิตของบริษัทฯ ที่ BBB- แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ หากการเสนอขายหุ้นของธุรกิจเบียร์ดังกล่าวไม่สำเร็จตามแผน

โดยการคงอันดับเครดิตได้รับปัจจัยสนับสนุนจากผลประกอบการและกระแสเงินสดสุทธิ (Free cash flow, FCF) ของ ThaiBev ที่แข็งแกร่ง ซึ่งน่าจะทำให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิลดลงมาอยู่ในระดับ ประมาณ 4.0 เท่าได้ในปีงบการเงินสิ้นสุดเดือนกันยายน 2565 (ปีงบการเงิน 2565) และต่ำกว่า 4.0 เท่าในปีต่อไป แม้ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส

ฟิทช์คาดว่าจะพิจารณายกเลิกเครดิตพินิจแนวโน้มเป็นบวกเมื่อการเสนอขายหุ้นเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งอาจใช้เวลานานกว่ากรอบเวลาโดยทั่วไปของเครดิตพินิจที่อยู่ที่หกเดือน

ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต

  • การ Spin-off ธุรกิจเบียร์และกระแสเงินสดสุทธิ ช่วยลดอัตราส่วนหนี้สิน – ฟิทช์คาดว่า FFO net leverage ของ ThaiBev จะลดลงมาอยู่ในระดับต่ำกว่า 3.5 เท่า ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า หากการเสนอขายหุ้นส่วนน้อยของธุรกิจเบียร์เสร็จสมบูรณ์ ThaiBev มีผลประกอบการที่แข็งแกร่งในปีงบการเงิน 2563 ด้วยกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ที่เติบโตขึ้นประมาณร้อยละ 5 และอัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้สุทธิหลังหักภาษีสรรพสามิต (EBITDA margin) เพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับร้อยละ 29 จากร้อยละ 25 ในปีงบการเงิน 2562 ฟิทช์คาดว่า ThaiBev จะยังคงรักษา EBITDA ที่ระดับสูงกว่า 4 หมื่นล้านบาท หรือประมาณ 1.3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ได้ในปีงบการเงิน 2564 แม้ว่าจะมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ระลอกใหม่ในประเทศก็ตาม
  • ยอดขายส่วนใหญ่ของบริษัทฯ มาจากการจำหน่ายในร้านค้าปลีกทั่วไปสำหรับการบริโภคภายในครัวเรือน (off premise) ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นช่องทางการจำหน่ายที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างจำกัดในช่วงที่มีการปิดเมืองและการรักษาระยะห่างทางสังคม ในขณะที่สัดส่วนของยอดขายที่มาจากการจำหน่ายเพื่อการบริโภคในร้านอาหาร หรือสถานบันเทิง (on premise) ของบริษัทฯ อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ ทั้งนี้การขาย off premise ของ ThaiBev ยังได้รับการสนับสนุนจากความแข็งแกร่งของเครือข่ายการจัดจำหน่ายสินค้าที่ครอบคลุมทั่วประเทศ เนื่องจากตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทยมีลักษณะกระจัดกระจาย โดยกลุ่มร้านค้าปลีกรายย่อยแบบดั้งเดิมยังคงเป็นช่องทางการจัดจำหน่ายที่มีสัดส่วนการจำหน่ายสูงที่สุด โดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัด
  • ผู้ผลิตเครื่องดื่มชั้นนำในภูมิภาค – สถานะทางธุรกิจของ ThaiBev ได้รับการสนับสนุนจากการเป็นผู้นำในตลาดเครื่องดื่มในภูมิภาค รวมถึงสถานะผู้นำทางการตลาดของสุราในประเทศไทย ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดกว่าร้อยละ 90 ของปริมาณการจำหน่ายสุรา และร้อยละ 35-40 ของปริมาณการจำหน่ายเบียร์ในประเทศไทยและเวียดนาม การขยายธุรกิจเข้าไปในประเทศเวียดนามและเมียนมาร์ช่วยให้ ThaiBev มีขนาดธุรกิจที่ใหญ่ขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และช่วยให้มีการกระจายความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์ที่ดีขึ้น โดยสัดส่วน EBITDA จากประเทศไทยลดลงเหลือต่ำกว่าร้อยละ 80 จากเดิมที่สูงกว่าร้อยละ 90 ในปีงบการเงิน 2560
  • ส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยใน Sabeco – ในการพิจารณาอันดับเครดิตของ ThaiBev ฟิทช์มองว่า ThaiBev และ Saigon Beer-Alcohol-Beverage Corporation (Sabeco) บริษัทลูกในประเทศเวียดนาม มีความเกี่ยวโยงในด้านการดำเนินงานและกลยุทธ์ทางธุรกิจอยู่ในระดับสูง แม้ว่าบริษัทฯ จะถือหุ้นใน Sabeco ในสัดส่วนเพียงร้อยละ 53.6 ฟิทช์จึงพิจารณากระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน (FFO) รวมของทั้งสองบริษัท แต่หักเงินปันผลที่จ่ายให้กับผู้ถือหุ้นส่วนน้อยออกในการคำนวณ นอกจากนี้ ฟิทช์ยังถือว่าเงินสดในมือของ Sabeco ในสัดส่วนตามการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย (จำนวนประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นปีงบการเงิน 2563) เป็นเงินสดที่มีภาระผูกพันซึ่งไม่สามารถนำมาเป็นรายการหักในการคำนวณหนี้สินสุทธิได้

การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป

อันดับเครดิตของ ThaiBev สะท้อนถึงสถานะความเป็นผู้นำทางการตลาดของสุราและเบียร์ในประเทศไทย เวียดนาม และเมียนมาร์ ซึ่งช่วยชดเชยการที่บริษัทฯ มีอัตราส่วนหนี้สินที่สูงกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับบริษัทผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่นๆ ทั่วโลกที่มีอันดับเครดิตสูงกว่า สถานะทางธุรกิจของ ThaiBev ใกล้เคียงกับ Molson Coors Brewing Company (Molson Coors, อันดับเครดิต BBB- แนวโน้มเครดิตเป็นลบ) แม้ว่า Molson Coors จะมีขนาดธุรกิจที่ใหญ่กว่า แต่ก็มีความกระจุกตัวในตลาดอเมริกาเหนือ ในขณะที่ ThaiBev มีตำแหน่งผู้นำทางการตลาดภายในประเทศที่แข็งแกร่งกว่าคู่แข่งรายอื่นเป็นอย่างมาก ซึ่งสะท้อนให้เห็นจาก EBITDA margin ที่สูงกว่าของ Molson Coors มาก โดยทั้งสองบริษัทมีกระแสเงินสดสุทธิที่แข็งแกร่งซึ่งสนับสนุนการคาดการณ์ของฟิทช์ว่าอัตราส่วนหนี้สินของทั้งสองบริษัทจะลดลงในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า โดยอัตราส่วนหนี้สินที่สูงของทั้งสองบริษัทเกิดจากการเข้าซื้อกิจการโดยใช้แหล่งเงินทุนจากการก่อหนี้

เมื่อเปรียบเทียบกับบริษัทที่ฟิทช์จัดอันดับเครดิตภายในประเทศ สถานะทางเครดิตของ ThaiBev อยู่ในระดับต่ำกว่า บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) (อันดับเครดิต ‘AA+(tha)’ แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ) เนื่องจากThaiBev มีอัตราส่วนหนี้สินที่สูงกว่า โดยทั้งสองบริษัทมีสถานะทางธุรกิจใกล้เคียงกัน ในฐานะผู้นำทางการตลาดในธุรกิจของตน

ThaiBev มีความเสี่ยงทางธุรกิจในระดับที่ต่ำกว่ามาก เมื่อเปรียบเทียบกับ บมจ.โทเทิ่ล แอ็คแซส คอมมูนิเคชั่น (DTAC, อันดับเครดิต AA(tha) แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ ; สถานะทางเครดิตโดยลำพัง aa-(tha)) และ บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC, อันดับเครดิต AA+(tha) แนวโน้มเครดิตเป็นลบ; สถานะทางเครดิตโดยลำพัง aa-(tha)) โดย ThaiBev มีฐานะความเป็นผู้นำตลาดและมีความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดสุทธิที่แข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วน FCF ต่อรายได้สุทธิ (หลังหักภาษีสรรพสามิต) อยู่ที่ระดับร้อยละ 8 รวมถึงการเผชิญกับการแข่งขันทางธุรกิจที่ต่ำกว่า ในขณะที่ DTAC ต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจโทรคมนาคมของประเทศไทย และ PTTGC มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่มีความผันผวนตามวัฏจักรของธุรกิจมากกว่า ThaiBev ซึ่งเป็นผลจากความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์และอัตรากำไรในธุรกิจการกลั่นน้ำมัน

ทั้ง DTAC และ PTTGC มี FCF เป็นลบเป็นส่วนใหญ่ตลอดช่วงวัฏจักรของธุรกิจ ซึ่งเป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายลงทุนที่สูงในธุรกิจโทรคมนาคม และความผันผวนของความต้องการเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจปิโตรเคมี ดังนั้น ThaiBev จึงได้รับการจัดอันดับเครดิตที่สูงกว่าสถานะทางเครดิตโดยลำพังของทั้งสองบริษัทหนึ่งอันดับ

สมมุติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ

  • รายได้สุทธิ (หลังหักภาษีสรรพสามิต) จากธุรกิจในประเทศไทยเติบโตในอัตราร้อยละ 3-5 ต่อปี ในปีงบการเงิน 2564-2566 โดยฟื้นตัวจากรายได้สุทธิที่ลดลงร้อยละ 3 ในปีงบการเงิน 2563 อันเป็นผลกระทบจากโควิด-19
  • รายได้สุทธิ (หลังหักภาษีสรรพสามิต) ของ Grand Royal Group (GRG) บริษัทลูกในประเทศเมียนมาร์ รวมกับ Sabeco เติบโตในอัตราร้อยละ 8-10 ต่อปี ในปีงบการเงิน 2564-2566 โดยฟื้นตัวจากรายได้สุทธิที่ลดลงร้อยละ 22 ในปีงบการเงิน 2563 อันเป็นผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสและกฎหมายควบคุมการดื่มแอลกอฮอล์สำหรับผู้ขับขี่ในประเทศเวียดนาม
  • EBITDA margin (โดยเป็นสัดส่วนต่อรายได้สุทธิหลังหักภาษีสรรพสามิต) ทรงตัวอยู่ในระดับร้อยละ 30-33 สำหรับธุรกิจในประเทศไทย และร้อยละ 20-23 สำหรับ GRG รวมกับ Sabeco
  • ค่าใช้จ่ายลงทุนประมาณ 5 พันล้านบาทต่อปี ในปีงบการเงิน 2564-2566 ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 2 ของรายได้
  • -อัตราการจ่ายเงินปันผลต่อกำไรสุทธิ (Dividend Payout) ประมาณร้อยละ 50-60 ในปีงบการเงิน 2564-2566

ปัจจัยที่อาจมีผลกับอันดับเครดิตในอนาคต

ปัจจัยบวก: FFO net leverage อยู่ในระดับต่ำกว่า 3.5 เท่า อย่างต่อเนื่อง โดยที่ความเสี่ยงทางธุรกิจยังคงไม่เปลี่ยนแปลง และการสร้างกระแสเงินสดสุทธิ ไม่อ่อนแอลง
ปัจจัยที่ทำให้คงอันดับเครดิต และแนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ: แผนการเสนอขายหุ้นส่วนน้อยของธุรกิจเบียร์ไม่ประสบความสำเร็จ ในขณะที่บริษัทฯ สามารถลด FFO net leverage ให้ลงมาอยู่ในระดับต่ำกว่า 4.0 เท่าได้อย่างต่อเนื่อง

ปัจจัยลบ: บริษัทฯ ไม่สามารถลด FFO net leverage ให้ลงมาอยู่ในระดับประมาณ 4.0 เท่า ได้อย่างต่อเนื่อง, มีหลักฐานหรือเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นถึงตำแหน่งทางการตลาด หรือประสิทธิภาพในการดำเนินงาน หรืออำนาจในการต่อรองราคา ที่อ่อนแอลง ส่งผลให้มีอัตราการเติบโตของรายได้และอัตรากำไรที่อ่อนแออย่างต่อเนื่อง

สภาพคล่องที่อยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้: ThaiBev มีหนี้ที่ครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้านับจากสิ้นปีงบการเงิน 2563 จำนวน 6.4 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วยเงินกู้ยืมระยะสั้นสำหรับใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาท เงินกู้ยืมธนาคาร 2 พันล้านบาท และหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอนประมาณ 4.5 หมื่นล้านบาท หุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอนในปีงบการเงิน 2564 ประกอบด้วย หุ้นกู้จำนวน 2.5 พันล้านบาทซึ่งได้มีการชำระเรียบร้อยแล้ว และหุ้นกู้ส่วนที่เหลือจำนวน 4.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งรองรับด้วยวงเงินกู้ยืมระยะเวลา 2 ปีจากสถาบันการเงินจำนวน 4.0 หมื่นล้านบาท

นอกจากนี้ สภาพคล่องของบริษัทฯ ยังได้รับการสนับสนุนจากเงินสดในมือจำนวน 2.4 หมื่นล้านบาท (ซึ่งไม่รวมเงินสดที่มีภาระผูกพันตามคำจำกัดความของฟิทช์) และวงเงินสินเชื่อหมุนเวียนจากสถาบันการเงินประเภทไม่สามารถยกเลิกได้ (committed revolving facilities ) ที่ยังไม่ได้เบิกถอนจำนวน 5.0 พันล้านบาท สถานะทางเครดิตและการสร้างกระแสเงินสดสุทธิที่แข็งแกร่งของ ThaiBev เป็นปัจจัยที่ทำให้บริษัทฯ สามารถเข้าถึงตลาดทุนและเงินกู้ยืม ซึ่งสนับสนุนสภาพคล่องของบริษัทฯ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (08 ก.พ. 64)

Tags: , , , , , ,
Back to Top