SELIC วางเป้าปี 64 โต 5-15% เล็งออกสินค้าใหม่กลุ่ม Biobased-ขยายธุรกิจในมาเลย์

นางสาวยุวดี เอี่ยมสนธิทรัพย์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ซีลิค คอร์พ (SELIC) เปิดเผยแผนงานปี 64 ว่า บริษัทการเติบโตต่อเนื่องและมุ่งเน้นการสร้างกำไร โดยคาดว่ารายได้ของบริษัทจะขยายตัวราว 5-15% เมื่อเทียบปีก่อน เตรียมเพิ่มสินค้ากลุ่ม Biobased ในครึ่งปีหลัง และขยายตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มอาเซียน รวมทั้งออสเตรเลียและเวียดนาม

“ภาพรวมรายได้การเติบโตของบริษัทปีนี้น่าจะมีการขยายตัวอยู่ที่ 5-15% เทียบจากปีที่แล้ว เนื่องจากบริษัทมีอุตสาหกรรมหลากหลาย ทำให้มีทั้งได้รับผลกระทบทั้งด้านดีและไม่ดี แต่ในส่วนของกำลังการผลิตยังเพียงพออยู่ที่ 60-70 %”นางสาวยุวดี กล่าว

แผนงานหลักในปี 64 คือ การลดภาระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพื่อเน้นการทำกำไร หลังจากปีที่แล้วได้ผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้เกิดการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ และพื้นที่ระวางเรือ

พร้อมทั้งวางแผนเพิ่มสินค้าใหม่ ๆ ที่ทำจากพืช (Biobased) ทั้งในกลุ่มกาวและสติกเกอร์คาดว่าจะนำออกมาเสนอกับลูกค้าได้ในครึ่งปีหลัง รวมทั้งเน้นการเติบโตต่อเนื่องในกลุ่มลูกค้าที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มดี โดยเฉพาะกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม บรรจุภัณฑ์ โลจิสติกส์ อีคอมเมิร์ซ ผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน รองเท้าและเครื่องหนัง รวมถึงดูแลซัพพลายเชนตั้งแต่ต้นน้ำ และมีการเพิ่มศักยภาพด้านดิจิทัลเพื่อมาปรับปรุงกระบวนการทำงาน

ด้านนายเอก สุวัฒนพิมพ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SELIC กล่าวว่า สำหรับลงทุนในปีนี้ตั้งไว้เบื้องต้น 150-300 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งจะใช้รองรับเพิ่มทุนให้กับบริษัทย่อย คือ บริษัท พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรียลส์ พีทีอี ลิมิเตด ในประเทศสิงคโปร์ เพื่อขยายกิจการทั้งในสิงคโปร์และมาเลเซีย และอีกส่วนหนึ่งจะใช้ลงทุนปรับปรุงโรงงาน และเครื่องจักร รวมถึงศึกษาลงทุนในกลุ่มไบโอเทค สายบรรจุภัณฑ์ และโลจิสติกส์ด้วย

ในปีนี้บริษัทวางเป้าหมายการขายในประเทศ 70% และส่งออก 30% ขณะที่แผนงานในปีนี้จะลดภาระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่สูงขึ้นในกระบวนการส่งออกและนำเข้าสินค้า เพื่อส่งสินค้าให้ลูกค้าได้ตามกำหนดและมีต้นทุนที่ไม่สูงเกินไป รวมทั้งพยายามรักษากลุ่มลูกค้าเดิม โดยยังจะเน้นตลาดในกลุ่ม CLMV และอาเซียน หลัก ๆ คือมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และเวียดนาม ส่วนนอกอาเซียนยังเน้นไปที่ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เช่นเดิม คาดหวังว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้ในปีนี้น่าจะเพิ่มขึ้นพอสมควร

ส่วนผลประกอบการปี 63 นางสาวยุวดี เปิดเผยว่า ไตรมาส 4/63 มีรายได้ 322 ล้านบาท เติบโต 1.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า แต่หดตัวเล็กน้อย 0.7% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/63 ขณะที่มีกำไรสุทธิ 22.87 ล้านบาท เติบโตขึ้น 68.3% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/62 แต่หดตัวลง 1.7% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/63 โดยมี EBITDA เท่ากับ 48.43 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 24% จากปีก่อน

ขณะที่ผลประกอบการทั้งปี 63 บริษัทมีกำไรสุทธิ 89.31 ล้านบาท สูงขึ้น 4.1% เมื่อเทียบกับปี 62 ที่มีกำไร 85.81 ล้านบาท ถึงแม้รายได้ที่มาจากยอดขายอยู่ที่ 1,260 ล้านบาท ลดลงจาก 1,379 ล้านบาทในปี 62 หรือลดลง 9.8% เนื่องจากบริษัทมีมาตราการต่าง ๆ ในการควบคุมค่าใช้จ่าย ขณะที่รายได้ในปี 62 มีฐานสูงหลังจากซื้อกิจการ PMC เข้ามา

ทั้งนี้ รายได้หลักของบริษัทมาจากธุรกิจกาวอุตสาหกรรมและธุรกิจสติ๊กเกอร์ โดยธุรกิจกาวอุตสาหกรรมทำรายได้ 718.61 ล้านบาท หดตัวเล็กน้อย 0.7% เมื่อเทียบกับปี 62 ซึ่งรายได้จากการขายทำได้ 630.06 ล้านบาท หดตัว 7.9% จากปี 62 เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัวและปัญหาการส่งออกซึ่งกระทบมากที่สุดในไตรมาส 2/63 จากมาตราการการปิดเมือง แต่เริ่มเห็นการส่งออกฟื้นตัวขึ้นในไตรมาส 4/63 ที่มีสัดส่วนการขายต่างประเทศเพิ่มเป็น 43% หลังจากสถานการณ์โควิดคลี่คลายลง

สำหรับสัดส่วนการขายกาว แบ่งตามประเภทของเทคโนโลยี กลุ่มกาวหลอมร้อน มีการเติบโตที่ชัดเจนอยู่ที่ 8.33% และ QoQ 7.02% ในขณะที่กลุ่มกาวซอลเวนท์มีการหดตัวอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับดีมานด์ตลาดโลกอยู่ที่ YoY -14.83% และ QoQ -6.85% เช่นเดียวกันกลุ่มกาวน้ำมีการหดตัวอยู่ที่ YoY -2.37% และ QoQ -18.56%

ส่วนรายได้ธุรกิจสติกเกอร์ในปี 63 อยู่ที่ 737.16 ล้านบาท หดตัว 9.3% จากปี 62 เนื่องจากผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 แต่ในไตรมาส 4/63 ทำรายได้ 183.76 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 มี.ค. 64)

Tags: , , , ,
Back to Top