รัฐบาล ปัดผูกขาด-ปิดกั้นเอกชนนำเข้าวัคซีนโควิด แจงเหตุล่าช้าจากความต้องการทั่วโลกสูง

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้ยังมีการเผยแพร่ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนจนทำให้ประชาชนเกิดความสับสนอย่างต่อเนื่องว่ารัฐบาลผูกขาดการนำเข้าวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 จากผู้ผลิตเพียงไม่กี่บริษัท และยังแสดงข้อความที่ทำให้เข้าใจว่ารัฐบาลปิดกั้นไม่ให้เอกชนนำเข้าวัคซีน ซึ่งรัฐบาลขอย้ำอีกครั้งแม้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้ชี้แจงไปแล้วว่ารัฐบาลไม่ได้ผูกขาดการจัดซื้อวัคซีนจากผู้ผลิตบางบริษัท และไม่ได้ปิดกั้นที่เอกชนจะนำเข้าวัคซีนแต่อย่างใด

แม้ขณะนี้รัฐบาลจะนำเข้าวัคซีนจากบริษัท ซิโนแวก และบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า แต่ก็มีความพยายามจัดหาวัคซีนจากบริษัทอื่นเพิ่มเติมเพื่อให้เพียงพอกับประชาชนในประเทศ แต่ยังมีข้อจำกัดการผลิตของผู้บริษัทรายอื่นที่ยังไม่เพียงพอตามข้อมูลข้างต้น

ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และขึ้นทะเบียนในประเทศไทยแล้ว 3 บริษัท คือ ซิโนแวก, แอสตร้าเซนเนกา และ จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ส่วนที่อยู่ในขั้นตอนยื่นเอกสารแบบต่อเนื่อง หรือ rolling submission คือวัคซีนของบริษัท บารัต ไบโอเทค เทคโนโลยี ประเทศอินเดีย นำเข้าโดยบริษัท ไบโอจีนีเทค จำกัด นอกจากนี้ยังมีส่วนที่อยู่ในขั้นตอนการหารือกับ อย.เพื่อเตรียมการยื่นคำขอขึ้นทะเบียนคือ วัคซีนโมเดอร์นาจากสหรัฐฯ วัคซีนสปุคนิกไฟว์จากรัสเซีย และวัคซีนซิโนฟาร์มจากจีน

“เวลานี้ความต้องการวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 จากทุกประเทศทั่วโลกมีสูงกว่าความสามารถในการผลิตของผู้ผลิตทุกราย หรือเรียกว่าดีมานด์มากกว่าซัพพลาย ตลาดเป็นของผู้ขายไม่ใช่ผู้ซื้อ และผู้ผลิตทุกรายซึ่งผลิตวัคซีนด้วยมาตรฐานสากลได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO) เวลานี้ก็ผลิตเพื่อส่งให้ประเทศต่างๆ ที่ทำการสั่งซื้อไว้แล้วเป็นหลักเท่านั้น” น.ส.ไตรศุลี กล่าว

โดยข้อมูลจากกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ที่รวบรวมจากแหล่งต่างๆ พบว่า ณ วันที่ 5 เม.ย.64 ทุกประเทศทั่วโลกมียอดจองวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 รวมกันแล้วสูงถึง 9,600 ล้านโดส เนื่องจากหลายประเทศมีคำสั่งซื้อในปริมาณที่สูงกว่าจำนวนประชากร 2-3 เท่าตัว ขณะยอดวัคซีนที่มีการฉีดไปแล้วแล้วอยู่ที่ 658 ล้านโดส แสดงให้เห็นว่าผู้ผลิตยังต้องผลิตตามยอดคำสั่งซื้อของรัฐบาลประเทศต่างๆ อีกเป็นจำนวนมาก

นอกจากนี้ยังมีประเด็นสำคัญที่ยังไม่มีการกล่าวถึงกันมากนักคือ วัคซีนจากผู้ผลิตทุกรายในเวลานี้เป็นการใช้แบบกรณีฉุกเฉิน (Emergency Use) นั่นคือหากเกิดอะไรขึ้นจากการใช้วัคซีนกับประชาชน รัฐบาลจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบไม่ใช่บริษัทผู้ผลิต จึงทำให้ขณะนี้เกือบทุกประเทศทั่วโลกรัฐบาลจะเป็นผู้จัดหาและนำเข้าวัคซีน โดยถือว่าวัคซีนเป็นสินค้าสาธารณะ (Public Goods) ยังไม่มีประเทศใดที่ให้ซื้อวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ได้เองแบบเชิงพาณิชย์ (Commercial) และยังมีประเด็นที่รัฐบาลต้องระมัดระวังคือ เมื่อกระจายการสั่งซื้อไปยังเอกชนแล้วอาจจะต้องบริหารจัดการอย่างรัดกุมเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาว่าประชาชนได้รีบวัคซีนปลอม

“ขณะนี้ยังคงมีความพยายามสร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเรื่องวัคซีนโควิด-19 โดยเฉพาะประเด็นการนำเข้าโดยเอกชน ซึ่งในประเด็นนี้ทั้งรัฐบาลไม่ขัดข้องที่เอกชนจะนำเข้า แต่ปัญหาอยู่ที่ความต้องการวัคซีนทั่วโลกมีสูงกว่าความสามารถในการผลิต ทำให้เอกชนเองก็หาวัคซีนไม่ได้ ขณะเดียวกันผู้ผลิตวัคซีนหลายรายก็ไม่ขายให้รายย่อย เช่น จอห์นสันแอนด์จอห์นสันก็บอกชัดเจนว่าในระยะแรกจะขายให้หน่วยงานของรัฐเท่านั้น ของจีนก็ต้องมีหน่วยงานของรัฐเป็นผู้สั่ง สถานการณ์วัคซีนทั่วโลกเวลานี้เป็นแบบนี้ แต่แนวทางของรัฐบาลเองชัดเจนว่าหากเอกชนรายใดหาวัคซีนได้อย. ก็พร้อมออกใบอนุญาตให้อยู่แล้ว” น.ส.ไตรศุลี กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (08 เม.ย. 64)

Tags: , , , , , , , , ,
Back to Top