ศาลปค.เชียงใหม่ ให้บอร์ดสวล.กำหนดให้ 4 จ.ภาคเหนือเป็นเขตควบคุมมลพิษจากปัญหา PM2.5

ศาลปกครองเชียงใหม่พิพากษาให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติประกาศกำหนดให้เขตท้องที่จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอน เป็นเขตควบคุมมลพิษ เพื่อดำเนินการควบคุม ลด และขจัดมลพิษ จากปัญหา PM2.5

คดีนี้มีนายภูมิ วชร เจริญผลิตผล ชาวบ้านในอำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ ได้ยื่นฟ้อง คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ต่อศาลปกครองเชียงใหม่ เนื่องจากได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากเหตุการณ์ไฟไหม้ป่าในพื้นที่หลายจังหวัดทางภาคเหนือของประเทศไทย ทำให้เกิดหมอกควันหนามีปริมาณเกินมาตรฐานที่กฎหมายและระเบียบกำหนดไว้ จนเป็นอันตรายต่อสุขภาพและชีวิตของประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือ โดยขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติมีประกาศในราชกิจจานุเบกษากำหนดให้จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอน เป็นเขตควบคุมมลพิษเพื่อดำเนินการควบคุม ลด และขจัดมลพิษ ตามมาตรา 59 แห่ง พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 ภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด

อธิบดีศาลปกครองเชียงใหม่มีคำสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาโดยเร่งด่วน ตามข้อ 49/2 แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2543 ศาลปกครองเชียงใหม่แสวงหาข้อเท็จจริงจากผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอน สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอน และสำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 1 (เชียงใหม่) และไต่สวนคู่กรณีเมื่อวันที่ 1 เม.ย.64

โดยศาลเห็นว่า แม้จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอน จะได้กำหนดแผนงานและมาตรการในการบริหารจัดการเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) เป็นประจำทุกปีอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งผู้บริหารระดับสูงให้ความสำคัญเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว แต่ปัญหาฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่ยังไม่ลดปริมาณลงกลับมีแนวโน้มความรุนแรงสูงขึ้นและต่อเนื่องยาวนาน โดยจะเห็นได้จากข้อมูลปริมาณ PM2.5 ช่วงระหว่างเดือน ก.พ.-พ.ค.ของแต่ละจังหวัดดังกล่าวตั้งแต่ปี พ.ศ.2561-2564 ยังคงเกินมาตรฐานและต่อเนื่องในอัตราที่สูงขึ้นเป็นลำดับทุกปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอน ตรวจพบฝุ่น PM2.5 เกินกว่ามาตรฐานต่อเนื่องสูงสุดถึง 31 วัน และตรวจพบค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมงต่อเนื่องสูงสุดสูงถึง 3-4 เท่าของระดับดัชนีคุณภาพอากาศที่มีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน (สัญลักษณ์สีแดง) ซึ่งต้องถือว่าเป็นสถานการณ์ที่มีแนวโน้มร้ายแรง ผู้ถูกฟ้องคดีได้รับทราบถึงความรุนแรงของปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตและสุขภาพอนามัยของประชาชน คุณภาพสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัยในการเดินทางทั้งทางบกและทางอากาศ รวมทั้งกระทบต่อสภาวะเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในพื้นที่ภาคเหนือมาโดยตลอด จึงเป็นหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ที่จะต้องคุ้มครองสิทธิของประชาชนที่ได้รับผลกระทบดังกล่าวตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 บัญญัติรับรองคุ้มครองไว้

หากผู้ถูกฟ้องคดีคดีได้ประกาศกำหนดให้ท้องที่ทั้ง 4 จังหวัดดังกล่าวเป็นเขตควบคุมมลพิษ ก็จะเกิดกระบวนการในการแก้ไขปัญหาเชิงบูรณาการอย่างเป็นระบบโดยมีการจัดทำแผนงานการดำเนินการ ประชาชนและชุมชนในท้องถิ่นของพื้นที่ที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมดำเนินการควบคุม ลด และขจัดมลพิษจากฝุ่น PM2.5 อย่างจริงจังและได้รับประโยชน์จากการดำเนินการดังกล่าว มีหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการตามแผนงานและโครงการตามแผนงาน มีหน่วยงานติดตามตรวจสอบและวิเคราะห์ประเมินผลของสภาพปัญหาและการดำเนินงานเพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาแผนงานโครงการให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งการดำเนินการตามแผนงานยังมีงบประมาณสนับสนุนแผนงานโครงการดังกล่าวเป็นการเฉพาะ มีหน่วยงานในพื้นที่โดยเฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งรู้ข้อมูลในพื้นที่ รู้ปัญหา และรู้ถึงแหล่งกำเนิดของมลพิษเป็นอย่างดีได้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทำแผนและเป็นหน่วยปฏิบัติการในพื้นที่

นอกจากนี้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นยังมีงบประมาณเป็นของตนเองที่จะสนับสนุนการดำเนินการตามแผนงานและโครงการให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามเป้าหมายในการลดปัญหาฝุ่น PM2.5 ได้ โดยมีหน่วยงานของกรมควบคุมมลพิษ ซึ่งมีบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์เกี่ยวกับปัญหามลพิษจากสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะมาช่วยให้ข้อแนะนำอีกด้วย ซึ่งย่อมจะส่งผลดีในการควบคุมตรวจสอบและติดตามผลโดยผู้บังคับบัญชาระดับสูง อันจะทำให้การขับเคลื่อนการดำเนินการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ยกระดับความสำคัญและสัมฤทธิ์ผลได้มากกว่าที่มอบให้แต่ละจังหวัดดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายของแต่ละหน่วยงานกำหนดอย่างเช่นที่ดำเนินการอยู่ ซึ่งยังไม่สามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ให้บรรลุผลได้

อีกทั้ง การประกาศเขตควบคุมมลพิษจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม และคุ้มครองประโยชน์สาธารณะมากกว่าที่จะเกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือเศรษฐกิจ การที่ผู้ถูกฟ้องคดีชี้แจงว่ากรณีปัญหาฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอน ยังไม่ถึงขนาดที่ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงต่อสุขภาพของประชาชน และยังสามารถแก้ไขโดยวิธีการอื่น ไม่จำเป็นต้องประกาศให้ท้องที่ 4 จังหวัดดังกล่าวเป็นเขตควบคุมมลพิษ นั้น เป็นข้ออ้างที่ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นและไม่สมเหตุสมผล จึงเป็นการใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

“พิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีใช้อำนาจตามมาตรา 59 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 ประกาศในราชกิจจานุเบกษากำหนดให้เขตท้องที่จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอน เป็นเขตควบคุมมลพิษเพื่อดำเนินการควบคุม ลด และขจัดมลพิษ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการประกาศภายใน 30 วัน นับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก” คำพิพากษาศาลปกครองเชียงใหม่ ระบุ

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (09 เม.ย. 64)

Tags: , , , , , , , ,
Back to Top