หมอยงชี้โควิดสายพันธุ์อินเดียยังไม่เข้าไทย เตือนไทยเกิดระบาดหนักอาจกลายพันธุ์

ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ขณะนี้ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์อินเดียยังไม่มีเข้ามาไทย แต่ยังต้องเฝ้าระวัง ทั้งจากคนที่เดินทางมาจากอินเดียก็เข้าสถานที่รัฐจัดให้ (Quanrantine) แม้กระทั่งตามชายแดนก็ต้องคอยป้องกัน ขณะเดียวกันหากแพร่ระบาดโควิด-19 มากทำให้สายพันธุ์ที่เกิดในบ้านเรากลายพันธุ์ได้

ถ้ากรณีที่มีการแพร่ระบาดมาก จากคนที่ 1 ไปคนที่ 2 แพร่ไปถึงคนที่ 5 ที่ 6 อาจจะมีการกลายพันธุ์ของไวรัสเกิดขึ้น ซึ่งเราก็ต้องเฝ้าระวัง ถ้าเกิดการกลายพันธุ์ก็จะทำให้การแพร่ระบาดทำได้ง่ายขึ้นอีก เพราะฉะนั้น เราสามารถลดการกลายพันธุ์ได้จากความร่วมมือของทุกคนต้องช่วยกัน ลดการระบาดครั้งนี้ลงให้ได้ มีระเบียบวินัยเคร่งครัด กำหนดระยะห่าง ล้างมือ ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งหรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งสามารถยุติโรคได้ แต่ต้องเกิดจากความร่วมมือทุกๆคน

ทั้งนี้ ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์อินเดียไม่เหมือนสายพันธุ์อังกฤษ มีการกลายพันธุ์เพิ่ม 2 ตำแหน่งสิ่งที่ทั่วโลกให้ความสนใจคือ จะทำให้ประสิทธิภาพวัคซีนลดลง แต่ยังไม่ได้พิสูจน์ว่าจริงหรือไม่

ศ.นพ.ยง กล่าวว่า ไวรัสโควิด-19 ที่มีการแพร่ระบาดมาก ในอังกฤษ อินเดีย บราซิล แอฟริกา แตกลูกหลานมากก็มีโอกาสจะกลายพันธุ์ และแพร่ระบาดได้เร็ว เพราะฉะนั้นการป้องกันไม่ให้เกิดการกลายพันธุ์ที่ดีที่สุดก็คืออย่าให้เกิดการระบาด ถ้ายิ่งระบาดมากก็จะเกิดการกลายพันธุ์มากเท่านั้น เช่น อังกฤษ เมื่อมีระบาดมากในธ.ค.ก็มีสายพันธุ์อังกฤษ ที่จับเซลล์มนุษย์ที่ดีขึ้น ทำให้การติดเชื้อง่ายขึ้น เราก็เฝ้าระวังเพราะสายพันธุ์ได้กระจายไปยุโรป อย่างในฝรั่งเศส เยอรมันจนกระทั่งมีการล็อกดาวน์ แม้จะมีการเฝ้าระวัง แต่สายพันธุ์อังกฤษก็ยังเล็ดลอดเข้าไทยจนได้โดยเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้าน การระบาดใหญ่ระลอกนี้ 98% เป็นสายพันธุ์อังกฤษ ส่วนสายพันธุ์สมุทรสาครลดน้อยอย่างมาก

สำหรับประเทศไทยซึ่งเผชิญหน้ากับการระบาดโควิด-19 จุดหนึ่งที่จะลดวิกฤตนอกจากเคร่งครัดกับการปฏิบัติตัวของเราแล้ว และวัคซีนต้องให้เร็ว วัคซีน AstraZeneca ยังใช้ไปไม่มาก แต่ส่วนใหญ่ที่ฉีดเป็นวัคซีนซิโนแวคของจีนที่ใช้ทั่วโลก 100 ล้านโดสแล้ว อาการข้างเคียงของวัคซีนตัวนี้มีได้หลายปัจจัย ซึ่งวัคซีนซิโนแวคเป็นวัคซีนที่พัฒนามาจากวิธีการดั้งเดิม โดยเหตุการณ์ที่เกิดกับไทย ครั้งนี้ก็ตรวจสอบสาเหตุ และจากที่ตนศึกษาวิจัยพบว่า คนไข้ที่ฉีดวัคซีน เกือบทุกคนความดันสูงกว่าปกติขึ้นมาเพราะตกใจ ตื่นกลัวจากที่ได้ยินข่าว ดังนั้น เราอยากสร้างความมั่นใจขอให้ทุกคนสบายใจได้

วัคซีนที่ไทยใช้ได้ทำการศึกษาแล้วว่า วัคซีนของจีน หลังเข็มแรกมีข้อมูลชัดเจนว่า 2 ใน 3 เริ่มตรวจพบภูมิต้านทานได้แต่ยังอยู่ในระดับต่ำ แต่หลังฉีดเข็มที่ 2 เข้าสู่สัปดาห์ที่ 3-4 ภูมิต้านทานจะมีเพิ่มขึ้น 98-99%ของคนที่ฉีดวัคซีนมีภูมิต้านทานสูงเท่ากับคนที่เคยติดเชื้อโควิดหลังจากติดเชื่อ 4-8 สัปดาห์

“เราจึงกล้าพูดได้ว่า วัคซีนน่าจะมีประสิทธิภาพเหมือนกับคนที่เคยติดเชื้อมาแล้ว เพราะเราต้องการภูมิคุ้มกันเป็นกลุ่ม ภูมิคุ้มกันกลุ่มจะเกิดได้ 2 วิธี คือจากการติดเชื้อโดยธรรมชาติ และเกิดจากการได้รับวัคซีน เพราะฉะนั้นการได้รับวัคซีนแล้วไม่เป็นโรค ก็เป็นวิธีการอันหนึ่ง ผมก็อยากจะสร้างความมั่นใจให้กับพี่น้องประชาชนทุกคน ขอให้มั่นใจว่าวัคซีนที่ฉีดไปสามารถกระตุ้นภูมิต้านทานได้อย่างแน่นอน เพราะเราได้ตรวจวัดแล้ว คนที่ฉีดวัคซีนมีภูมิต้านทานเท่าเทียบกับคนที่เคยติดเชื้อมา”

วัคซีน AstraZeneca ที่ใช้ในไทย ก่อนหน้านี้เดนมาร์กเลิกใช้ หรือ สหรัฐฯระงับการใช้วัคซีนของจอนห์สันแอนด์จอหน์สัน เพราะพบว่าเมื่อใช้ไปแล้วเกิดลิ่มเลือดทำให้เกิดอุดตันของหลอดเลือดดำ แต่เมื่อศึกษาในอังกฤษและสหรัฐว่าการเกิดภาวะเช่นนี้ มีโอกาสเกิด 1 ในหลักแสน เมื่อเทียบกับคนที่เสียชีวิตจากวัคซีน กับคนที่เสียชีวิตจากโรคโควิดห่างกันเกือบพันเท่า ดังนั้นประโยชน์มีมากกว่า ตอนนี้ สหรัฐฯก็ยอมให้จอนห์สันแอนด์จอนห์สันนำกลับมาใช้ใหม่แล้ว และวัคซีน AstraZeneca ที่ใช่ในอังกฤษจากที่มีการแพร่ระบาดมากจนระบบสาธารณสุขล้มเหลวแต่ตอนนี้กลับมาได้ จำนวนผู้ป่วยลดน้อยลง อัตราการเสียชีวิตก็ลดลง ดังนั้น เมื่อประโยชน์มีมากกว่าก็คงเดินหน้าฉีดวัคซีน

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 เม.ย. 64)

Tags: , , , , , ,
Back to Top