PROS ปิดเทรดวันแรกที่ 3.36 บาท สูงกว่าราคาขาย IPO 68%

หุ้น PROS ปิดเทรดวันแรกที่ 3.36 บาท เพิ่มขึ้น 1.36 บาท (+68%) จากราคาขาย IPO ที่ 2.00 บาท/หุ้น มูลค่าซื้อขาย 2,331.04 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 4.00 บาท ราคาขึ้นสูงสุด 5.00 บาท และราคาลงต่ำสุด 3.32 บาท

บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ฯมองราคา IPO ของบมจ.พรอสเพอร์ เอ็นจิเนียริ่ง (PROS) ยังมีอัพไซด์เมื่อเทียบกับกลุ่มอุตสาหกรรมซึ่งมี P/E เฉลี่ยที่ 24 เท่า จากงานในมือมูลค่าเกือบ 2,000 ล้านบาท ทำให้ประมาณการ Forward P/E เบื้องต้น ของ PROS อยู่ที่ 16.72 เท่า และด้วยดำเนินงานในกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายจะช่วยให้บริษัทมีการรับรู้รายได้ที่สม่ำเสมอ หรือสามารถปรับเปลี่ยนไปสู่กลุ่มลูกค้าที่มีธุรกิจซึ่งกำลังขยายตัวได้

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะเพิ่มสัดส่วนงานภาครัฐเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มงานในมือ และสร้างรายได้ที่ต่อเนื่องให้กับบริษัท โดยเฉพาะช่วงหลังจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 คลี่คลาย ที่การลงทุนจากภาครัฐจะมีบทบาทสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม แม้การกระจายรายได้ไปยังกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายของบริษัทจะช่วยให้การดำเนินงานมีความต่อเนื่อง แต่อาจกดดันอัตรากำไรของบริษัทได้ และทำให้การควบคุมต้นทุนกลายเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนอัตรากำไร

PROS ดำเนินธุรกิจโดยการให้บริการรับเหมาติดตั้งงานระบบประกอบอาคาร และรับเหมาก่อสร้างงานโยธา โดยมีลูกค้ากระจายไปตามธุรกิจต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โรงงานหรือศูนย์กระจายสินค้าต่างๆ, ห้างสรรพสินค้า, อาคารสำนักงาน หรือกลุ่มอสังหาริมทรัพย์

นายพงศ์เทพ รัตนแสงสรวง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PROS เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจรายได้ปีนี้จะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 1,400 ล้านบาทตามเป้าหมายที่วางไว้ และวางแผนผลักดันรายได้ให้เติบโตเฉลี่ย 15-20% ต่อปี

ปัจจุบันบริษัทตุนงานในมือ (Backlog) มูลค่าราว 2,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นงานที่เหลือมาจากปีก่อน 700 ล้านบาทจะสามารถรับรู้รายได้ในปีนี้ทั้งหมด และส่วนที่เหลืออีก 1,300 ล้านบาทน่าจะรับรู้รายได้ในปีนี้เป็นส่วนใหญ่

แม้ว่าในปัจจุบันจะมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่บริษัทได้เน้นการรับงานจากลูกค้าเอกชนที่มีความมั่นคงในการชำระเงิน และกลุ่มงานจากภาครัฐที่อยู่ในกลุ่มงานก่อสร้างโรงพยาบาล รวมถึงเน้นเพิ่มส่วนงานภาครัฐมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเชื่อว่าช่วงครึ่งปีหลังจะมีนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมาทำให้งานก่อสร้างภาครัฐจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทหวังที่จะมีสัดส่วนรายได้จากภาครัฐมากกว่า 50% ในอนาคต จากปัจจุบันที่ 20% เพื่อที่จะเป็นการกระจายความเสี่ยงที่ดีขึ้น

ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างรอผลการประมูลงาน 2,000-3,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทมีความมั่นใจว่าจะได้งานเข้ามาเพิ่มใน Backlog อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการเข้าร่วมประมูลงานส่วนใหญ่เป็นลูกค้ารายเดิมที่มีฐานะทางการเงินดีมีงานออกมาสม่ำเสมอ และบริษัทเคยเข้ารับงานอยู่แล้ว

“เรายินดี ดีใจมากที่ได้รับการตอบรับที่ดีเหนือความคาดหมาย ซึ่งเราว่าเรามีจุดเด่นที่มีรายได้เติบโตมาต่อเนื่องตลอด 24 ปี และเรายังมีนโยบายปันผลมากกว่า 50% ของกำไรสุทธิด้วย ซึ่งที่ผ่านมาเราได้มีการกระจายความเสี่ยงไปยังการรับงานที่มีหลากหลากกลุ่มงานมากขึ้น และหลีกเลี่ยงงานรับเหมาที่ปัจจุบันมีความเสี่ยงคือกลุ่มโรงแรม และกลุ่มการท่องเที่ยว ในขณะเดียวกันเรายังมีความเข้มงวดในการดูแลแรงงานไม่ให้มีปัญหาเกี่ยวกับโควิด-19 เพราะงานก่อสร้างแรงงานเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งที่ผ่านมาสามารถดำเนินการก่อสร้างได้ตามกำหนด”นายพงศ์เทพ กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (27 เม.ย. 64)

Tags: , , , , , , ,
Back to Top