หุ้นไทยปิดลบ 7.33 จุด ขายลดความเสี่ยงก่อนหยุดยาว/สัปดาห์หน้ามีโอกาสอ่อนลง

  • ตลาดหลักทรัพย์ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,583.13 จุด ลดลง 7.33 จุด (-0.46%) มูลค่าการซื้อขาย 85,480.11 ล้านบาท
  • การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวในแดนลบเป็นส่วนใหญ่ โดยดัชนีทำระดับสูงสุด 1,593.23 จุด และระดับต่ำสุด 1,580.74 จุด
  • ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 533 หลักทรัพย์ ลดลง 1,051 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 446 หลักทรัพย์

นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้พักตัวหลังจากขึ้นไปแรงในช่วง 2 วันที่ผ่านมา และตลาดบ้านเราปิดทำการ 4 วันติดต่อกัน ทำให้เกิดแรงขายทำกำไรเพื่อลดความเสี่ยง เนื่องจากยังไม่รู้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในประเทศจะเป็นอย่างไรบ้างในช่วงวันหยุด

ส่วนตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียวันนี้เคลื่อนไหวแดนลบเป็นส่วนใหญ่ คาดว่าเม็ดเงินจะไหลออกจากเอเชียหลังจากที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของสหรัฐฯออกมาดี และในอนาคตเมื่อเศรษฐกิจฟื้นก็มีโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และเงินดอลลาร์สหรัฐฯมีโอกาสแข็งค่า ส่งผลให้เงินทุนไหลออก นอกจากนี้ยังได้รับแรงกดดันจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือน เม.ย.อยู่ที่ 51.1 ลดลงจาก 51.9 ในเดือน มี.ค.ส่วนดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนเม.ย.อยู่ที่ 54.9 ลดลง 1.4% จาก 56.3 ในเดือนมี.ค.

ส่วนนายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลง เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียวันนี้ปรับตัวลง ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯออกมาค่อนข้างดี ทำให้กังวลเรื่องเงินเฟ้อ ขณะที่ตลาดในยุโรปเปิดบวกเล็กน้อยจากทิศทางเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น หลังประสบความสำเร็จในการกระจายวัคซีน และการเปิดประเทศ ขณะที่ทางเอเชียมีการกระจายวัคซีนที่ค่อนข้างช้า

ส่วนตลาดบ้านเรามีความกังวลจากจะเข้าสู่ช่วงหยุดระยะยาว 4 วันติดต่อกัน ส่งผลให้นักลงทุนบางส่วนขายเพื่อลดความเสี่ยงส่วนตัวเลขผู้ติดเชื้อจากการระบาดของโควิด-19 คาดว่าน่าจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว จากตัวเลขผู้ติดเชื้อที่ลดน้อยลงเรื่อย ๆ แต่ยังต้องใช้มาตรการที่รัดกุมขึ้น เนื่องจากตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ต่อวันยังคงมีจำนวนมากอยู่

แนวโน้มการลงทุนในสัปดาห์หน้า นายวีระวัฒน์ กล่าวว่า ตลาดฯยังมี upside จำกัดทำให้มีโอกาสที่จะอ่อนตัวลง พร้อมให้แนวรับ 1,560-1,555 จุด ส่วนแนวต้าน 1,590-1,600 จุด โดยสัปดาห์หน้าให้ติดตามตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือน เม.ย.ของสหรัฐฯ และติดตามสถานการณ์การแพร่ะบาดไวรัสโควิด-19 ในประเทศอย่างใกล้ชิด

ด้านนายกิจพณ กล่าวว่า ตลาดฯค่อนข้างทรงตัว โดยอาจจะเก็งกำไรตามผลประกอบการ พร้อมให้แนวรับ 1,580-1,560 จุด ส่วนแนวต้าน 1,600-1,630 จุด

สัปดาห์หน้ายังต้องติดตามการทยอยประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยหุ้นที่น่าสนใจยังคงมองที่หุ้นที่มีผลประกอบการไตรมาส 1/64 ที่ออกมาดี อย่างกลุ่มปิโตรเคมี และสินค้าโภคภัณฑ์ รวมทั้งกลุ่มสินค้าเกษตร และอาหาร มองว่าน่าจะมีแนวโน้มที่ค่อนข้างดี

 

ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่

  • COTTO มูลค่าการซื้อขาย 3,170.98 ล้านบาท ปิดที่ 2.10 บาท เพิ่มขึ้น 0.39 บาท
  • KBANK มูลค่าการซื้อขาย 2,549.12 ล้านบาท ปิดที่ 132.00 บาท ลดลง 2.50 บาท
  • PTT มูลค่าการซื้อขาย 2,141.72 ล้านบาท ปิดที่ 40.00 บาท ลดลง 0.50 บาท
  • PTTGC มูลค่าการซื้อขาย 1,844.87 ล้านบาท ปิดที่ 67.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท
  • SCC มูลค่าการซื้อขาย 1,817.34 ล้านบาท ปิดที่ 462.00 บาท ลดลง 4.00 บาท

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 เม.ย. 64)

Tags: , , , , , , , ,
Back to Top