JWD มั่นใจรายได้ปี 64 โตกว่า 15-20% โควิดไม่กระเทือน-รับรู้บ.ย่อย/บ.ร่วมเพิ่มขึ้น

นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการ่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ (JWD) เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจว่าปีนี้จะเป็นปีที่ JWD สามารถเติบโตอย่างแข็งแกร่ง แม้มีสถานการณ์โควิด-19 ระบาดระลอกใหม่ แต่ในปัจจุบันการให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนของ JWD ยังไม่ได้รับผลกระทบและบางธุรกิจได้รับผลเชิงบวกจากความต้องการจัดเก็บสินค้าที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นบริษัทฯ จึงวางเป้าหมายรายได้ปี 2564 เติบโตไม่ต่ำกว่า 15-20%

โดยนับตั้งแต่ไตรมาส 2/64 เป็นต้นไป บริษัทฯ เริ่มรับรู้รายได้จากการเข้าควบรวมกิจการกับบริษัท วีเอ็นเอส ทรานสปอร์ต จำกัด (VNS) ที่มีความเชี่ยวชาญการขนส่งสินค้าแบบมิลค์รัน โดยเฉพาะการให้บริการขนส่งชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์จากผู้ผลิตไปยังโรงงานผลิตรถ โดย VNS มีรายได้ในปีที่ผ่านมากว่า 400 ล้านบาท และกำไรกว่า 30 ล้านบาท

ซึ่งหลังจากนี้มีแผนขยายธุรกิจให้บริการขนส่งในภูมิภาคอาเซียน ขณะเดียวกันบริษัทฯ จะรับรู้รายได้จากการเพิ่มสัดส่วนถือหุ้นในบริษัท JWD Asia Logistics (Cambodia) จากเดิมที่รับรู้ส่วนแบ่งกำไรตามสัดส่วนการลงทุน โดยบริษัทดังกล่าวมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากปีที่ผ่านมาที่มีรายได้กว่า 200 ล้านบาท และกำไรสุทธิกว่า 20 ล้านบาท รวมถึงจะรับรู้กำไรจากการให้เช่าโครงการคลังสินค้าเจดับเบิ้ลยูดี นวนคร แก่กองทรัสต์ AIMIRT เป็นระยะเวลา 30 ปี

นอกจากนี้ ล่าสุดบริษัทฯ ยังได้เป็นผู้ให้บริการขนส่งวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในประเทศกัมพูชา และด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการจัดส่งสินค้าควบคุมอุณหภูมิ บริษัทฯ มีความพร้อมให้บริการขนส่งวัคซีนในประเทศไทย หากมีการนำเข้าหรือผลิตวัคซีนเพิ่มขึ้นในอนาคต

“เรามีความมั่นใจว่าโมเดลธุรกิจในปัจจุบัน ที่มีการขยายเครือข่ายการให้บริการด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนอย่างหลากหลายและครบวงจรทั้งในและต่างประเทศ จะสามารถสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยปัจจุบันเรามีกระแสเงินสดและช่องทางการระดมทุนที่หลากหลาย พร้อมขยายการลงทุนและเข้าควบรวมกิจการกับบริษัทที่มีศักยภาพ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายรายได้แตะ 10,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปีข้างหน้า”

นายชวนินทร์ กล่าว

ด้านนายเอกพงษ์ ตั้งศรีสงวน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน JWD กล่าวว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/64 สามารถทำสถิติรายได้สูงสุดใหม่ มีรายได้รวม 1,147.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 966.1ล้านบาท และมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 140.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 93.5 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ มีอัตรากำไรสุทธิที่ระดับ 12.3% สูงกว่าไตรมาสแรกของปีก่อนที่มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 9.7%

ผลการดำเนินงานที่ทำสถิติสูงสุดใหม่ มาจากกลยุทธ์การขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อขยายการให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนอย่างครบวงจรในระดับภูมิภาค โดยธุรกิจที่เติบโตได้ดีในไตรมาส 1/64 ได้แก่

  • (1) ธุรกิจรับฝากและบริหารสินค้าอันตราย มีรายได้ทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 135.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยปริมาณตู้คอนเทนเนอร์สินค้าอันตรายที่ผ่านเข้า-ออกท่าเรือแหลมฉบัง ชลบุรี เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 43,200 ตู้ สูงกว่าช่วงไตรมาส 1/63 ซึ่งยังไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19
  • (2) ธุรกิจขนส่งสินค้ามีรายได้ 130 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการขยายตัวของบริการจัดส่งสินค้าควบคุมอุณหภูมิและสินค้าควบคุมอุณหภูมิแบบด่วนพิเศษ บริการขนส่งข้ามแดนและบริการขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ (Project Cargo)
  • (3) ธุรกิจบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ (Logistics Infrastructure) มีรายได้ 32.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 156.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
  • (4) ธุรกิจห้องเก็บของส่วนตัว (Self-Storage) มีรายได้ 12.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 116.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ธุรกิจในต่างประเทศ เช่น Transimex ในประเทศเวียดนามมีส่วนแบ่งกำไรที่สูงขึ้นถึง 66% และมีการรับรู้รายได้จาก CSLF ผู้ประกอบธุรกิจฟู้ดเซอร์วิสในไต้หวันที่มีผลการดำเนินการเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (13 พ.ค. 64)

Tags: , , , , , ,
Back to Top