ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กร RBF ที่ BBB+ แนวโน้ม Stable

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย (RBF) ที่ระดับ “BBB+” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่”

อันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานที่ยาวนานของบริษัทในธุรกิจผลิตและจำหน่ายวัตถุดิบที่ใช้เป็นเครื่องปรุงและส่วนผสมในอาหาร (Food Ingredient Industry) โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ตลอดจนความรู้ความสามารถในด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (R&D) การเติบโตที่ต่อเนื่องจากการมีผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลายและเป็นนวัตกรรม รวมถึงฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวก็มีข้อจำกัดบางประการจากฐานรายได้ของบริษัทที่มีขนาดค่อนข้างเล็ก ตลอดจนภัยคุกคามจากผู้ประกอบการรายใหม่ที่เข้าสู่ตลาด และความเสี่ยงจากการลงทุนในตลาดต่างประเทศ

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

– เติบโตอย่างต่อเนื่องโดยได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยจากสถานการณ์การแพร่ระบาด ปัจจุบันรายได้ของบริษัทมีแนวโน้มที่จะเติบโตยิ่งขึ้นและคาดว่าจะเติบโตถึงระดับตัวเลขสองหลักในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า โดยที่ผลิตภัณฑ์ของบริษัทเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคที่ใช้กันอย่างกว้างขวางในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มตลอดจนอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหาร ทริสเรทติ้งเชื่อว่าความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายแก่ผู้บริโภคทั่วไปนั้นจะช่วยลดความเสี่ยงจากลักษณะความเป็นวงจรลงได้และจะช่วยเพิ่มความยั่งยืนให้แก่ผลการดำเนินงานของบริษัทได้อีกด้วย

สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) และปัญหาด้านการขนส่งนั้นมีผลกระทบค่อนข้างน้อยต่อผลการดำเนินงานโดยรวมของบริษัท โดยรายได้รวมของบริษัทในปี 2563 เพิ่มขึ้น 11% จากปี 2562 และเพิ่มขึ้น 7% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

การขยายไปยังตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดภูมิภาคอย่างเช่นเวียดนามและอินโดนีเซียก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยให้รายได้ของบริษัทเติบโตขึ้น ทั้งนี้ บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากตลาดต่างประเทศอยู่ที่ประมาณ 15% ในระหว่างปี 2561-2563 จนถึงช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 โดยจะเห็นว่ารายได้จากตลาดต่างประเทศในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 เพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2563 ซึ่งรายได้จากประเทศเวียดนามและอินโดนีเซียมีสัดส่วนเพิ่มเป็น 10% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 จาก 6% ในระหว่างปี 2561-2563

บริษัทกำลังลงทุนในธุรกิจกัญชงที่คาดว่าจะมีรายได้จากธุรกิจนี้ตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป โดยเริ่มแรกบริษัทจะให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ประเภทอาหารและเครื่องดื่มที่ผลิตจากกัญชง และหลังจากนั้นจะทำการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเครื่องสำอางและการแพทย์ในลำดับต่อไป

นอกจากนี้ การเป็นหุ้นส่วนทางกลยุทธ์กับ บมจ. ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำระดับโลกด้านผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแปรรูปและผู้ผลิตปลาทูน่ากระป๋องรายใหญ่ที่สุดคาดว่าจะสร้างโอกาสในการผสานพลังทางธุรกิจและการเติบโตตลอดจนขยายฐานลูกค้าในธุรกิจอาหารได้ ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะรับผิดชอบในด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็นสิ่งที่บริษัทเชี่ยวชาญ ในขณะที่บริษัทไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จะดูแลด้านการตลาดซึ่งบริษัทมีประสบการณ์เป็นอย่างดีในตลาดระดับโลกความสามารถในการทำกำไรที่สม่ำเสมอ

ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงรักษาระดับความสามารถในการทำกำไรในธุรกิจปัจจุบันเอาไว้ได้อย่างต่อเนื่องและจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยหลังจากที่ได้เริ่มธุรกิจกัญชงแล้ว ทั้งนี้ จากการที่บริษัทมีทีมวิจัยและพัฒนาที่มีความสามารถตลอดจนความสัมพันธ์ที่ยาวนานกับผู้จัดจำหน่ายวัตถุดิบและสินค้าตลอดจนลูกค้านั้น

ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าสิ่งดังกล่าวน่าจะช่วยทำให้บริษัทมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ต่อรายได้คงอยู่ที่ระดับ 26%-28% ได้ในช่วงระหว่างปี 2564-2566 บริษัทมี EBITDA ต่อรายได้อยู่ที่ระดับ 23%-26% ระหว่างปี 2560-2563 และขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 26% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 โดยแม้ว่าบริษัทจะประสบปัญหาเกี่ยวกับราคาต้นทุนวัตถุดิบและต้นทุนค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้น แต่บริษัทก็ยังสามารถบริหารต้นทุนและรักษาระดับความสามารถในการทำกำไรเอาไว้ได้

– ภาระหนี้และสภาพคล่องอยู่ในระดับดี จากสมมติฐานขั้นพื้นฐาน ทริสเรทติ้งประมาณการว่าบริษัทน่าจะยังคงรักษาสถานภาพปลอดหนี้ต่อไปได้ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ บริษัทได้นำเงินสดที่ได้จากการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจำนวน 1.7 พันล้านบาทไปใช้ในการจ่ายชำระคืนหนี้คงค้าง รวมทั้งใช้ในการลงทุน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท ส่วนที่เหลือนั้นบริษัทเก็บสำรองไว้เพื่อใช้ในการลงทุนในต่างประเทศ จากการสัมภาษณ์ผู้บริหารของบริษัทได้ข้อมูลว่าการก่อสร้างโรงงานแห่งที่สองในประเทศอินโดนีเซียคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2565 โดยที่บริษัทไม่มีแผนการที่จะลงทุนโดยใช้เงินทุนจำนวนมากในช่วง 2-3 ปีข้างหน้านี้ ในการนี้ เงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทจึงน่าจะมีเพียงพอต่อความต้องการในการดำเนินงานและแผนการลงทุน

ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีสภาพคล่องที่มากพอในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ภายใต้สมมติฐานขั้นพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่า EBITDA ของบริษัทจะอยู่ระหว่าง 880 ล้านบาทจนถึง 1.28 พันล้านบาท ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2564 บริษัทไม่มีภาระหนี้สำคัญเร่งด่วนในขณะที่บริษัทมีเงินสดในมือและเงินลงทุนระยะสั้นจำนวน 1.09 พันล้านบาทและยังมีวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกจำนวน 1.12 พันล้านบาท

– ภัยคุกคามจากผู้ประกอบการรายใหม่อยู่ในระดับปานกลาง

ทริสเรทติ้งประเมินว่าภัยคุกคามที่เกิดจากผู้ประกอบการรายใหม่ที่เข้าสู่ธุรกิจนี้อยู่ในระดับปานกลาง โดยเงินลงทุนในธุรกิจนี้ไม่จัดว่าสูงจนเกินไปและขั้นตอนในการผลิตก็ไม่ต้องการเทคโนโลยีที่ซับซ้อน แต่ปัจจัยที่จะนำไปสู่ความสำเร็จคือความสามารถในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์รวมถึงการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ ส่วนการที่ลูกค้าจะยึดติดกับการซื้อสินค้าจากผู้ประกอบการรายใดรายหนึ่งนั้นมีค่อนข้างต่ำโดยจะขึ้นอยู่กับระดับความพึงพอใจของลูกค้าเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์และผลงานที่ยาวนานของบริษัทในธุรกิจนี้น่าจะช่วยปกป้องสถานะที่มั่นคงมากของบริษัทในธุรกิจต่อไปได้อีกในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า

– ความเสี่ยงจากการลงทุนในต่างประเทศ แม้ว่าการลงทุนในต่างประเทศจะสร้างโอกาสในการขยายฐานรายได้ให้แก่บริษัท แต่การลงทุนก็มาพร้อมกับความเสี่ยงในหลาย ๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงด้านการเมือง ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ และความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ประกอบกับตลาดต่างประเทศที่เป็นเป้าหมายรวมไปถึงพฤติกรรมของผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม บริษัทก็ค่อนข้างมีความระมัดระวังในการขยายธุรกิจในต่างประเทศ ซึ่งบริษัทมักจะเข้าไปดำเนินการในตลาดเป้าหมายแห่งใหม่โดยจัดตั้งเพียงสำนักงานขายก่อนที่จะทำการลงทุนขนาดใหญ่ใด ๆ จนเมื่อมีความมั่นใจและเห็นว่าตลาดใหม่ดังกล่าวมีขนาดใหญ่และมีความยั่งยืนพอ บริษัทจึงอาจจะตัดสินใจตั้งโรงงานในประเทศนั้น ๆ ต่อไป

– มีผลงานที่ยาวนานพร้อมความเชี่ยวชาญในธุรกิจ ขีดความสามารถในการแข่งขันของบริษัทเกิดจากผลการดำเนินงานที่ยาวนานกว่า 30 ปีในธุรกิจหลักของบริษัทซึ่งคือการผลิตและจำหน่ายวัตถุแต่งรสและกลิ่น (Flavor and Fragrance – F&F) นอกจากนี้ ยังมีสีผสมอาหาร (Food Coloring) และผลิตภัณฑ์ในกลุ่มแป้งและซอส (Food Coating) ซึ่งรวมคิดเป็นสัดส่วนถึง 75% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564

ทั้งนี้ ในจำนวนผู้ประกอบการ 10 รายใหญ่ในธุรกิจดังกล่าวนั้น บริษัทเป็นเพียงรายเดียวที่มีคนไทยเป็นทั้งเจ้าของและผู้ดำเนินงาน

ผู้บริหารและพนักงานของบริษัทมีทั้งประสบการณ์และความรู้ในเชิงลึกเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของบริษัทและแนวโน้มของตลาดซึ่งส่งผลให้บริษัทสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงได้อย่างรวดเร็วตามความต้องการของลูกค้า โดยบริษัทจำหน่ายสินค้าให้แก่ลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมที่มีชื่อเสียงหลายรายเนื่องจากผลงานที่ไว้วางใจได้

– ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากในด้านการวิจัยและพัฒนา การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ถือว่าเป็นจุดแข็งหลักของบริษัท บริษัทมีการว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญทั้งในงานด้านวัตถุแต่งรสและกลิ่นรวมไปถึงงานด้านวิทยาศาสตร์อาหารให้เข้ามารับผิดชอบทำการวิจัยและพัฒนาเพื่อให้บริษัทสามารถคิดค้นผลิตภัณฑ์ให้ทันกับแนวโน้มใหม่ ๆ ด้วยการมีศักยภาพในการวิจัยและพัฒนาดังกล่าว บริษัทจึงสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งยังช่วยให้บริษัทสามารถให้บริการและคาดการณ์ความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วของลูกค้า อีกทั้งยังสามารถแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่ช่วยให้ลูกค้าประหยัดรายจ่ายได้ นอกจากนี้ การวิจัยและพัฒนายังช่วยให้บริษัทลดต้นทุนลงโดยบริษัทสามารถคิดค้นส่วนผสมของตนเองแทนการซื้อจากแหล่งจัดจำหน่ายรายอื่นได้อีกด้วย

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

  • รายได้จะเติบโตที่ระดับ 5% ในปี 2564 และจะเติบโตที่ระดับ 16% ต่อปีในช่วงระหว่างปี 2565-2566 (อัตราการเติบโตจากธุรกิจปัจจุบันจะอยู่ที่ระดับ 7%-10% นอกเหนือจากนั้นคืออัตราการเติบโตจากธุรกิจกัญชง)
  • อัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ระหว่าง 39%-41% และอัตรา EBITDA ต่อรายได้จะอยู่ที่ระดับ 26%-28%
  • เงินลงทุนรวมจะอยู่ที่ระดับ 400 ล้านบาทในปี 2564 ระดับ 800 ล้านบาทในปี 2565 และระดับ 500 ล้านบาทในปี 2566

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงรักษาสถานะทางการแข่งขันในธุรกิจหลักของบริษัทรวมถึงดำรงความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดและการทำกำไรเอาไว้ได้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าการขยายการลงทุนในต่างประเทศและกลยุทธ์การขยายรายได้ในตลาดภายในประเทศจะทำให้บริษัทมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นโดยที่ไม่ทำให้ความสามารถในการทำกำไรถดถอยลงจากระดับปัจจุบันอย่างมีสาระสำคัญ

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง การปรับเพิ่มอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากบริษัทสามารถเพิ่มรายได้อย่างมีนัยสำคัญได้ในขณะที่ยังสามารถรักษาอัตรากำไรและงบดุลที่แข็งแรงเอาไว้ได้ ส่วนการปรับลดอันดับเครดิตนั้นอาจเกิดจากผลการดำเนินงานที่ถดถอยลงจากที่คาดการณ์ไว้ในระยะเวลาที่ยาวนานระดับหนึ่ง หรือจากการที่บริษัทลงทุนเชิงรุกมากเกินไปด้วยการก่อหนี้

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 ม.ค. 65)

Tags: , , ,
Back to Top