สธ. ชี้ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดแตะหมื่นยังเป็นไปตามคาด มอง H2/65 ลดลงหากไม่พบสายพันธุ์ใหม่

นพ.เฉวตสรร นามวาท ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึง สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์โอมิครอนทั่วโลก จำนวนผู้ติดเชื้อ และผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ว่า ได้ผ่านจุดสูงสุดมาแล้วเมื่อวันที่ 28 ม.ค. 65 และมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ

สำหรับการคาดการณ์ฉากทัศน์จำนวนผู้ติดเชื้อ และจำนวนผู้เสียชีวิตของไทย ขณะนี้เริ่มลดลงในระดับที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ที่ต่ำที่สุด ซึ่งมาจากการเคร่งมาตรการโควิด-19 ของทุกภาคส่วน

“วันนี้มีจำนวนผู้ติดเชื้อใกล้ 1 หมื่นราย จึงจำเป็นต้องขอความร่วมมือประชาชนปฎิบัติตามมาตรการ VUCA เร่งฉีดวัคซีนเข็ม 3 ทั้งนี้ หลายท่านอยากเห็นการผ่อนคลาย คิดว่าความร่วมมือจะเป็นตัวชี้ชัดที่สุด เราหวังว่าสถานการณ์หลังจากนี้ ถึงแม้ว่าจะมีการเปิดรับนักท่องเที่ยว Test&Go ก็จะทำด้วยความระมัดระวัง ซึ่งจำนวนผู้ติดเชื้ออาจขึ้นไปสูงแตะหมื่นราย หรือเกินหมื่นนิดๆ ซึ่งก็ถือว่ายังอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ หากทุกคนร่วมมือกันในมาตรการ VUCA”

นพ.เฉวตสรร กล่าว

ส่วนสถานการณ์การฉีดวัคซีนของประเทศไทย ขณะนี้ประชาชนฉีดวัคซีนเข็ม 1 ครอบคลุม 75.4% เข็ม 2 ครอบคลุม 70.1% และเข็มที่ 3 ครอบคลุม 21.4%

ด้านนพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยถึงสถานการณ์และการพยากรณ์โรคและภัยสุขภาพที่สำคัญปี 65 ได้แก่

  1. โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยคาดว่าหากไม่มีสายพันธุ์อื่นเพิ่มเติม ในช่วงครึ่งปีหลังจำนวนผู้ติดเชื้อ และเสียชีวิตจะลดลง จากปัจจัยการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นตามเป้าหมายที่วางไว้
  2. โรคไข้หวัดใหญ่ คาดว่าจะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น 2 เท่า หรือประมาณ 22,817 ราย โดยจะพบผู้ป่วยสูงใน 2 ช่วง คือ ช่วงเดือนม.ค.-มี.ค. ประมาณ 1,000 ราย/เดือน และเดือนส.ค.-ธ.ค. ประมาณ 3,000 ราย/เดือน ทั้งนี้ หากประชาชนปฎิบัติตัวตามมาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด-19 จำนวนผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ก็จะลดลงตามไปด้วย โดยปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ คือ การสวมหน้ากากอนามัย ซึ่งช่วยลดการติดเชื้อของโรคไข้หวัดได้
  3. โรคไข้เลือดออก คาดว่าจะมีการระบาดเพิ่มขึ้นเป็น 85,000 ราย เนื่องจากไข้เลือดออกจะมีการระบาดแบบปีเว้นปี หรือปีเว้นสองปี ซึ่งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยพบการติดเชื้อน้อย ดังนั้นปีนี้จึงมาถึงวงจรการระบาด จากปัจจัยภูมิคุ้มกันน้อยของคนไทย ประกอบกับการประกอบกิจกรรมที่น่าจะเพิ่มขึ้นในปีนี้ ทั้งนี้ จำนวนผู้ป่วยจะเพิ่มสูงสุดในช่วงเดือนมิ.ย.-ส.ค. โดยจะพบผู้ป่วยสูงสุดในเดือนก.ค. จำนวน 13,769 ราย ดังนั้น จึงต้องเร่งรณรงค์เรื่องโรคไข้เลือดออก เนื่องจากขณะนี้ไทยพบผู้เสียชีวิตจากโรคไข้เลือดออกแล้ว 1 ราย และมีแนวโน้มพบผู้ติดเชื้อที่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
  4. อุบัติเหตุทางถนน คาดว่าจะมีผู้เสียชีวิตมากขึ้นอยู่ในระดับ 17,000-20,000 ราย โดยผู้เสียชีวิตสูงสุดจะอยู่ในช่วงเดือนมี.ค. และเดือน ธ.ค.
  5. ตกน้ำ จมน้ำ คาดว่าปีนี้โรงเรียนจะเปิดเรียนแบบ onsite มากขึ้น มีกิจกรรมมากขึ้น โดยคาดว่าจะมีเด็กจมน้ำในช่วงเดือนมี.ค.-เม.ย. เพิ่มมากขึ้น
  6. โรคจากฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5)

สำหรับสถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 ในเด็ก เมื่อเทียบจากผู้ติดเชื้อจำนวน 100 คน พบว่า ในการระบาดระลอกแรกๆ พบเด็กติดเชื้อแค่ 1% แต่การระบาดในระลอกล่าสุดกับระลอกเม.ย. 64 เริ่มพบเด็กติดเชื้อมากขึ้น โดยเด็กอายุ 5-11 ปี พบติดเชื้อ 6% และเด็กอายุ 12-17 ปี พบติดเชื้อ 5.6% ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีแนวโน้มการติดเชื้อเด็กมากขึ้น

สำหรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในเด็ก 3 ปี ต้องคำนึงถึงประสิทธิภาพของวัคซีน และความปลอดภัยเป็นหลัก ซึ่งหากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ให้การรับรองการขึ้นทะเบียนการฉีดวัคซีนซิโนแวคในเด็ก สธ. ก็พร้อมจะนำวัคซีนมาฉีดให้เด็กๆ ทันที

ทั้งนี้ จำนวนวัคซีนซิโนแวคในประเทศ ขณะนี้มีอยู่ประมาณ 6 ล้านโดส แบ่งเป็น วัคซีนตามโรงพยาบาลจังหวัดต่างๆ 4 ล้านโดส และวัคซีนบริจาคจากประเทศจีนในเดือน พ.ย.-ธ.ค.จำนวน 2 ล้านโดส โดยในส่วนนี้กรมควบคุมโรคได้ทำการเก็บรักษาไว้ ซึ่งหากอย. อนุมัติการฉีดวัคซีนซิโนแวคในเด็ก ก็มีรองรับเพียงพอ และไม่จำเป็นต้องซื้อวัคซีนเพิ่มเติมแต่อย่างใด

นพ.โอภาส กล่าวว่า ในส่วนของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ไม่สวมหน้ากากอนามัยในพื้นที่สาธารณะ ในภาพรวมกระทรวงสาธารณสุขไม่มีนโยบายบังคับประชาชนให้ใส่หน้ากากอนามัย หรือการจ่ายค่าปรับ เนื่องจากประชาชนให้ความร่วมมือดีมาก ทั้งนี้ จะแตกต่างกับนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ที่บางประเทศไม่นิยมใส่หน้ากากอนามัย จึงจะต้องมีการทำความเข้าใจกับนักท่องเที่ยวเรื่องวัฒนธรรมการใส่หน้ากากของไทย ซึ่งหากได้รับความร่วมมือดี ก็ยังไม่จำเป็นต้องใช้กฎหมายบังคับ แต่หากจำเป็นจริงๆ ก็คงต้องใช้มาตรการทางกฎหมาย แต่จะเป็นกรณีท้ายจริงๆ ที่จะใช้

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (04 ก.พ. 65)

Tags: , , , , ,
Back to Top