สรท.มั่นใจส่งออก Q1/65 โต 5% แม้ยังมีหลายปัจจัยเสี่ยง

นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) หรือ สภาผู้ส่งออก มั่นใจภาวะการส่งออกของไทยในไตรมาสแรกของปีนี้ขยายตัวต่อเนื่องที่ระดับ 5% และคงคาดการณ์ภาวะการส่งออกทั้งปี 65 โต 5-8% จากปี 64 ที่มีมูลค่า 271,314 ล้านดอลลาร์

“การส่งออกเดือนมกราคมยังเติบโตแข็งแรง คาดว่ามียอดราว 22,000 ล้านดอลลาร์ มั่นใจมากๆ ว่าไตรมาสแรกของปีนี้จะขยายตัวได้ 5%”

 นายชัยชาญ กล่าว

โดยหากการส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 5% จะมีมูลค่าประมาณ 284,880 ล้านดอลลาร์ หรือมียอดส่งออกเฉลี่ยเดือนละ 23,740 ดอลลาร์ แต่หากการส่งออกขยายตัวได้สูงถึง 8% จะมีมูลค่าประมาณ 293,020 ล้านดอลลาร์ หรือมียอดส่งออกเฉลี่ยเดือนละ 24,418 ดอลลาร์

ขณะที่มีปัจจัยปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ได้แก่

1) ราคาพลังงานทรงตัวในระดับสูง ส่วนหนึ่งจากผลกระทบจากข้อพิพาทระหว่างรัสเซียและยูเครน ทำให้ราคาแก๊สธรรมชาติและถ่านหินน้ำมัน ในยุโรปและของโลกเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่สหภาพยุโรปอาจขาดแคลนพลังงานเนื่องจากยุโรปนำเข้าแก๊สจากรัสเซีย 25-50% กรณีดังกล่าวส่งผลให้หมวดหมู่สินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันมีมูลค่าสูงขึ้น ในทางกลับกันส่งผลต่อต้นทุนการผลิตสินค้าเกือบทุกประเภทรวมถึงต้นทุนการขนส่งที่ต้องปรับตัวสูงขึ้นตามกลไกราคาพลังงานในตลาดโลก ส่งผลให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวสูงขึ้นหลายเท่าตัวทั่วโลก คาดว่าราคาน้ำมันในช่วงไตรมาสแรกปีนี้จะอยู่ที่ 90-100 ดอลลาร์/บาร์เรล

2) แรงงานในภาคการผลิตขาดแคลนต่อเนื่อง ประกอบกับต้นทุนการจ้างงานปรับตัวสูงขึ้น กระทบการผลิตเพื่อการส่งออกที่กำลังฟื้นตัว ซึ่งควรผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการไตรภาคี เบื้องต้นควรปรับในระดับเดียวกับอัตราเงินเฟ้อ

3) ปัญหาความหนาแน่นภายในท่าเรือประเทศปลายทาง ทำให้ต้องใช้ระยะเวลานานในการขนถ่ายสินค้า รวมถึงปัญหา Space allocation ไม่เพียงพอ ทำให้ไม่สามารถจองระวาง ตลอดจนค่าระวางเรือยังคงทรงตัวในระดับสูง

4) ปัญหาวัตถุดิบขาดแคลนและราคาผันผวน อาทิ เซมิคอนดักเตอร์, เหล็ก, น้ำมัน ส่งผลให้ภาคการผลิตเพื่อส่งออก ยังคงประสบปัญหาอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น

5) หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนในหลายประเทศมีการฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 และเข็มที่ 4 ต่อเนื่อง และเริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการสำหรับการเดินทางเข้าประเทศ อาทิ นิวซีแลนด์ (เฉพาะผู้ที่เดินทางในประเทศและมาจากออสเตรเลีย) ขณะที่ นอร์เวย์ เดนมาร์ก ยกเลิกมาตรการควบคุมโควิด-19 ที่เหลืออยู่

อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามและประเมินสถานการณ์ไวรัสโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.2 ซึ่งกำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในหลายประเทศ

สำหรับข้อเสนอแนะของสรท.ต่อภาครัฐ แบ่งเป็น

ด้านการตลาด (Marketing) ประกอบด้วย

1) ขอให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเร่งกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าและจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดเพื่อยกระดับ/กระตุ้นให้เกิด Trade activity ในลักษณะ Exhibition / Business matching ระหว่างกันให้มากขึ้น อาทิ จัดกิจกรรมเยือนซาอุดิอาระเบีย และประเทศเป้าหมายสำคัญ

2) เร่งผลักดันการใช้สิทธิประโยชน์จากความตกลง RCEP พร้อมกับเพิ่มกิจกรรมส่งเสริมการตลาดในประเทศคู่เจรจาให้มากขึ้น

ด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้า (Trade Facilitation) ประกอบด้วย

1) เร่งยกระดับการใช้ระบบดิจิทัลแพลตฟอร์มเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกทางการค้าเต็มรูปแบบ เช่น National Single Window ให้เป็น Single Submission

2) เร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อยกระดับประสิทธิภาพและอำนวยความสะดวก และช่วยลดต้นทุน อาทิ ด้านโลจิสติกส์และการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ เป็นต้น

ด้านการควบคุมต้นทุนการผลิต (Production cost) ประกอบด้วย

1) ขอให้ภาครัฐตรึงราคาพลังงาน โดยเฉพาะน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาท/ลิตร เนื่องจากต้นทุนพลังงานคิดเป็นต้นทุนที่สำคัญในการผลิต ราว 2-10% หากราคาพลังงานมีการปรับตัวสูงเกินไปจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนภาคการผลิตของแต่ละอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นโดยตรง

2) ขอให้ภาครัฐช่วยควบคุมต้นทุนภาคการผลิตตลอดโซ่อุปทาน อื่น อาทิ ค่าน้ำ ค่าไฟ วัตถุดิบขั้นกลางสำหรับการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค

3) ขอให้ภาครัฐพิจารณาการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำโดยอ้างอิงจากปัจจัยการปรับขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อเป็นหลัก และขอให้พิจารณาปรับขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากปัจจุบันผู้ประกอบการมีต้นทุนแรงงานที่ค่อนข้างสูง โดยเฉพาะ

3.1) การนำเข้าแรงงานต่างด้าวเฉลี่ยต่อคนประมาณ 12,000 บาท

3.2) ผู้ประกอบการส่วนใหญ่จ่ายค่าจ้างเกินกว่าค่าแรงขั้นต่ำกำหนดไว้ ดังนั้นหากมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำมากเกินไปอาจกระทบกับธุรกิจในระดับ SME ที่กำลังฟื้นตัวจากผลกระทบโควิด-19 และยังไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำได้ในช่วงเวลานี้ นอกจากนี้ภาครัฐควรต้องส่งเสริม ยกระดับ upskill–reskill ให้กับแรงงานในแต่ละอุตสาหกรรมโดยเร็ว

3.3) ผู้ประกอบการมีต้นทุนการฝึกอบรมและยกระดับประสิทธิภาพของแรงงานในสถานประกอบการและแรงงานใหม่ให้มีความพร้อมในการปฏิบัติงานจริง และเมื่อแรงงานมีความพร้อม จะมีการปรับขึ้นค่าแรงให้ตามความเหมาะสม 3.4) ผู้ประกอบการมีการจ่ายผลตอบแทนให้กับแรงงานในรูปแบบของโบนัสและสวัสดิการอื่นเมื่อกิจการสามารถทำกำไรได้ ซึ่งสะท้อนความผลิตภาพของแรงงานและสอดคล้องกับสถานการณ์ทางธุรกิจของผู้ประกอบการ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (08 ก.พ. 65)

Tags: , ,
Back to Top