EXIM BANK เผยปี 64 กำไรสูงสุดรอบ 5 ปี ตั้งเป้าสินเชื่อปีนี้แตะ 1.65 แสนลบ.

นายรักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานปี 2564 ว่า แม้สถานการณ์โควิด-19 จะทำให้เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกยังไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ แต่ EXIM BANK สามารถพลิกผลประกอบการกลับมาทำกำไรได้อีกครั้ง โดยมีกำไรสุทธิสูงถึง 1,531 ล้านบาท สูงสุดในรอบ 5 ปี ด้วยการขยายบทบาทการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยทั้งด้านการเงิน (สินเชื่อและประกัน) และไม่ใช่การเงินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ปี 2564 EXIM BANK มีสินเชื่อคงค้าง 152,773 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้าถึง 17,545 ล้านบาทหรือ 12.97% ซึ่งเป็นผลงานด้านสินเชื่อที่สูงสุดตั้งแต่เปิดดำเนินการมา 28 ปี แบ่งเป็นสินเชื่อเพื่อการค้า 40,259 ล้านบาท และสินเชื่อเพื่อการลงทุน 112,514 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 13.50% จากปีก่อน โดยการให้สินเชื่อทั้งหมดของ EXIM BANK ทำให้เกิดปริมาณธุรกิจ (Business Turnover) 196,726 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้เป็นปริมาณธุรกิจของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) 70,797 ล้านบาท หรือคิดเป็น 35.99%

สำหรับการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้ขยายฐานการค้าและการลงทุนไปยังต่างประเทศ ณ สิ้นปี 2564 EXIM BANK มีวงเงินสะสมสินเชื่อโครงการระหว่างประเทศรวม 102,152 ล้านบาท โดยเป็นสินเชื่อคงค้างจำนวน 66,254 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9,870 ล้านบาทหรือ 17.50% เมื่อเทียบกับปีก่อน นอกจากนี้ EXIM BANK ยังสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการขยายการส่งออกและการลงทุนไปยังกลุ่มประเทศ New Frontiers รวมถึง CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) โดยปี 2564 มีสินเชื่อคงค้างจำนวน 50,066 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10,312 ล้านบาทหรือ 25.94% เมื่อเทียบกับปีก่อน สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้รุกตลาด New Frontiers รวมถึง CLMV ซึ่งมีโอกาสทางธุรกิจและอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง

ด้านบริการประกันการส่งออกและการลงทุน ซึ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจแก่ผู้ส่งออกและนักลงทุนไทย ปี 2564 EXIM BANK มีปริมาณธุรกิจด้านการรับประกันการส่งออกและการลงทุนเท่ากับ 153,466 ล้านบาท สูงสุดตั้งแต่เปิดดำเนินการเช่นกัน โดยเพิ่มขึ้นถึง 18,394 ล้านบาท หรือ 13.62% เมื่อเทียบกับปีก่อน

นอกจากนี้ EXIM BANK ได้ทำหน้าที่สนับสนุนผู้ประกอบการ ทั้งในด้านการเงินและไม่ใช่การเงิน ด้วยการออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ขยายระยะเวลาการชำระเงิน พักชำระหนี้ และปรับโครงสร้างหนี้ รวมทั้งให้การสนับสนุนด้านข้อมูลและพัฒนาองค์ความรู้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ให้สามารถปรับตัวและดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ผ่านการให้คำปรึกษาและจัดอบรม/สัมมนาออนไลน์ ทั้งนี้ ปี 2564 EXIM BANK ได้ช่วยเหลือทั้งด้านการเงินและไม่ใช่การเงินแก่ผู้ประกอบการกว่า 12,800 ราย ด้วยวงเงินรวมประมาณ 73,800 ล้านบาท

EXIM BANK มีอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวม (NPL Ratio) ณ สิ้นปี 2564 อยู่ที่ 2.73% ลดลงจาก 3.81% ณ สิ้นปี 2563 โดยมีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้จำนวน 4,166 ล้านบาท แต่มีค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss) จำนวน 11,670 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง คิดเป็นอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Coverage Ratio) 280.11%

  • ปี 65 ตั้งเป้าสินเชื่อแตะ 165,000 ลบ. NPL ไม่เกิน 3%

นายรักษ์ กล่าวว่า สำหรับเป้าหมายการดำเนินงานของ EXIM BANK ในปี 2565 นั้น ได้ตั้งเป้าหมายการสินเชื่อเป็นสองเท่าของการเติบโตของระบบ หรือที่ประมาณ 165,000 ล้านบาท และตั้งเป้าให้แตะ 200,000 ล้านบาทในปี 2567 ส่วนจำนวนลูกค้าตั้งเป้าจะเพิ่มขึ้นให้ได้ 5 เท่าของส่วนเพิ่มในแต่ละปี สำหรับแนวโน้ม NPL ปีนี้ คาดว่าจะใกล้เคียงปีก่อนที่ไม่เกิน 3% เนื่องจากในพอร์ตของ EXIM BANK ขณะนี้เหลือแต่ผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ

ขณะเดียวกัน ยังประเมินแนวโน้มการส่งออกของไทยในปีนี้ คาดว่าจะเติบโตได้ 5% โดยมองว่าธุรกิจส่งออกที่มีแนวโน้มเติบโตดีแม้จะอยู่ภายใต้สถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด คือธุรกิจใน 3 กลุ่ม ประกอบด้วย 1. กลุ่มพลังงานทางเลือก 2.กลุ่มดิจิทัลคอนเทนต์ และ 3.กลุ่ม Health Care

อย่างไรก็ดี จากอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มเป็นขาขึ้นนั้น EXIM BANK จะพยายามชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไว้ให้นานที่สุด เพื่อให้ผู้ประกอบการมีเวลาได้ลืมตาอ้าปาก

สำหรับการให้สินเชื่อกับกลุ่มธุรกิจสายการบินในปี 2564 ไปราว 7,300 ล้านบาทนั้น เชื่อว่าจะช่วยพยุงให้ธุรกิจสายการบินเริ่มกลับมาได้ราวปลายไตรมาส 3 หรือต้นไตรมาส 4 ของปีนี้ ซึ่งขณะนี้ก็เริ่มเห็นสัญญาณที่ดีจากที่หลายสายการบินเริ่มกลับมาเปิดให้บริการแล้ว ท่ามกลางสถานการณ์การท่องเที่ยวที่เริ่มกลับมา หลังจากปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดเริ่มคลี่คลายลง

ทั้งนี้ ในปี 2564 EXIM BANK ได้รับอนุมัติเงินเพิ่มทุนจากกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ จำนวน 4,198 ล้านบาท นับเป็นการเพิ่มทุนครั้งแรกในรอบ 12 ปี โดยได้รับเงินแบ่งจ่ายงวดที่ 1 จำนวน 2,198 ล้านบาทในเดือนพฤศจิกายน 2564 และงวดที่ 2 อีกจำนวน 2,000 ล้านบาทภายในปี 2565

อย่างไรก็ดี EXIM BANK ยังมีความต้องการเงินเพิ่มทุนอีก 10,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้พอร์ตของเอ็กซิมแบงก์มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 400,000 ล้านบาท เปรียบเสมือนการเติมน้ำมันให้ EXIM BANK เดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสนับสนุนผู้ประกอบการให้สามารถทำการค้าการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศได้อย่างเข้มแข็ง

  • มุ่งภารกิจ ซ่อม-สร้าง-เสริม-สานพลัง

นายรักษ์ กล่าวด้วยว่า ในปี 2565 EXIM BANK จึงมีนโยบายมุ่งเน้นบทบาทธนาคารเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Bank) ด้วย 4 ภารกิจ ดังนี้

1. ซ่อม อุตสาหกรรมที่ประสบวิกฤต เช่น สายการบิน พาณิชยนาวี และอุตสาหกรรมที่เริ่มไปต่อไม่ได้ โดยสนับสนุนให้เกิดการ Transform ธุรกิจและพัฒนากิจการตอบโจทย์ลูกค้ายุค Next Normal

2. สร้าง อุตสาหกรรมสู่อนาคต อาทิ การสนับสนุนสินเชื่อให้แก่ธุรกิจที่เสริมสร้างเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio, Circular, Green Economy : BCG Economy) และสร้างนักรบเศรษฐกิจหน้าใหม่ที่พร้อมบุกตลาดโลก โดยมุ่งเน้นบ่มเพาะกลุ่มผู้ผลิตเพื่อผู้ส่งออก (Indirect Exporters) ให้ผันตัวมาเป็นผู้ส่งออก เริ่มต้นจากการค้าออนไลน์บน EXIM Thailand Pavilion ที่เชื่อมโยงกับแพลตฟอร์ม Alibaba

3. เสริม การค้าการลงทุนของไทยในต่างประเทศ ทั้งตลาดหลักและตลาดใหม่ อาทิ CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP)

4. สานพลัง กับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเดินเกมเปลี่ยนแปลงประเทศไทย สร้างคุณค่าและผลลัพธ์การพัฒนาอย่างยั่งยืน

พร้อมเสนอกลยุทธ์ เกมเปลี่ยนประเทศไทย (Thailand Game Changer) ดังนี้

1. เกมสร้างนักรบเศรษฐกิจ ในการปลดล็อกข้อจำกัดด้านขนาดตลาดและกำลังซื้อของผู้บริโภคภายในประเทศ ประเทศไทยต้องเร่งสร้างผู้ส่งออก SMEs ซึ่งปัจจุบันมีเพียง 23,000 รายหรือไม่ถึง 1% ของ SMEs รวม เทียบกับเวียดนามที่มีสัดส่วนถึง 10%

2. เกมสร้างอุตสาหกรรมใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงและตอบโจทย์กระแสโลกในอนาคต ได้แก่ อุตสาหกรรมสีเขียว (Green) เพื่อรองรับกระแสรักษ์โลก อุตสาหกรรมดิจิทัล (Digital) เพื่อสร้างความสะดวกสบายและตอบสนองความต้องการอย่างรวดเร็ว และอุตสาหกรรมเพื่อสุขภาพ (Health) สอดรับกระแสการดูแลสุขภาพ

3. เกมสร้างระบบนิเวศให้เอื้อต่อธุรกิจการค้าและการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน พาณิชยนาวี Logistics และอุตสาหกรรมที่เป็นพื้นฐานของประเทศตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (09 ก.พ. 65)

Tags: , ,
Back to Top