กทม. เล็งเปิดศูนย์พักคอยเพิ่มเติม หากมีผู้ป่วยโควิดครองเตียงเกิน 80%

พล.ต.ท.โสภณ พิสุทธิวงษ์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยในที่ประชุม สำนักอนามัยและสำนักการแพทย์ กทม. ได้รายงานสถานการณ์ผู้ป่วยโควิด-19 รวมถึงการเตรียมพร้อมสถานพยาบาลเพื่อผู้ป่วยในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยในวันนี้ (15 ก.พ.) ในพื้นที่กรุงเทพฯ พบผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่ 3,180 ราย และมีผู้เสียชีวิต 8 ราย

นอกจากนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 13 ก.พ.ที่ผ่านมา พบการระบาดในสถานศึกษาตั้งแต่ระดับเตรียมอนุบาล-มัธยมศึกษาหลายแห่ง โดยพบผู้ติดเชื้อทั้งในกลุ่มครู นักเรียน และกลุ่มนักเรียนที่เก็บตัวฝึกซ้อมในโรงเรียน จากการสอบสวนโรคพบว่า สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงในการระบาด ได้แก่ การติดเชื้อจากบุคคลในครอบครัว การติดเชื้อของครูผู้สอน การติดเชื้อจากจุดสัมผัสที่ใช้ร่วมกันห้องน้ำ และการทำกิจกรรมร่วมกันโดยที่ไม่ใส่หน้ากากอนามัย

ขณะเดียวกัน ยังพบการติดเชื้อในแคมป์คนงานก่อสร้าง ซึ่งปัจจัยเสี่ยงเกิดจากการรับประทานอาหารร่วมกัน การดื่มน้ำจากกระติกเดียวกัน และการรวมกลุ่ม พูดคุยโดยไม่ได้สวมใส่หน้ากากอนามัย และการติดเชื้อในศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ ปัจจัยเสี่ยงเกิดจากผู้ที่มาจากข้างนอกศูนย์ฯ สัมผัสเชื้อหรือติดเชื้อ และนำมาแพร่สู่ผู้สูงอายุในศูนย์

ปัจจุบัน มีอัตราผู้ป่วยครองเตียงในรพ. ซึ่งอยู่ในความดูแลของสำนักการแพทย์ 94.38% โรงพยาบาลสนาม 83.68% Hospitel 100% และศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อ 36.28% อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กรุงเทพมหานครได้ให้บริการวัคซีนกับกลุ่ม 608 (ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป กลุ่มที่มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรค และหญิงตั้งครรภ์) เพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อ และการเกิดอาการรุนแรงของโรคไปแล้วกว่า 2,214,467 คน โดยเป็นวัคซีนเข็มที่ 1 อยู่ที่ 90.72% เข็มที่ 2 ที่ 82.69% และเข็มที่ 3 ที่ 41.02%

ทั้งนี้ เนื่องจากมีแนวโน้มผู้ป่วยจำนวนมากขึ้น ที่ประชุมจึงได้มอบหมายให้ 50 เขต พิจารณาเปิดศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อเพิ่มเติม ในกรณีที่ศูนย์พักคอยฯ ซึ่งเปิดดำเนินการอยู่แล้วมีจำนวนผู้ป่วยครองเตียงมากกว่า 80% และให้เร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบช่องทางการติดต่อ

อย่างไรก็ดี หากพบว่าตนเองติดเชื้อ สามารถโทรแจ้งได้ที่สายด่วน สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) 1330 กด 14 และศูนย์ EOC ของ 50 สำนักงานเขตได้ตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่สร้างความเข้าใจให้แก่สถานบริการที่แจ้งความประสงค์ปรับรูปแบบร้านเป็นร้านอาหาร และได้รับอนุญาตแล้ว จำนวน 483 แห่ง ให้เข้ารับการประเมินมาตรฐาน Thai Stop Covid 2 Plus เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนหรือผู้มาใช้บริการ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (15 ก.พ. 65)

Tags: , , , ,
Back to Top