PF คาดปีนี้อสังหาฯ-โรงแรมฟื้นดันรายได้รวม 2.83 หมื่นลบ.ยอดขาย 1.8 หมื่นลบ.

นายศานิต อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค (PF) เปิดเผยว่า แผนงานในปี 65 บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมของกลุ่มที่ 2.83 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นรายได้ของพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค (PF) ที่ 1.2 หมื่นล้านบาท รายได้ของแกรนด์ แอสเสทฯ (GRAND) ที่ 2.8 พันล้านบาท รายได้จากการขายที่ดินและสิทธิการเช่า ขายการลงทุนในโรงแรมและจัดตั้งกองทรัสต์ 8.5 พันล้านบาท และรายได้จากโครงการร่วมทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 5 พันล้านบาท

นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ PF กล่าวว่า บริษัทวางเป้ายอดขายปี 65 ไว้ที่ 1.8 หมื่นล้านบาท จากแนวราบ 1.05 หมื่นล้านบาท คอนโดมิเนียมทั้งในประเทศไทยและญี่ปุ่น 2.5 พันล้านบาท และโครงการร่วมทุน 5 พันล้านบาท

ณ สิ้นปี 64 บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ที่ 2.12 พันล้านบาท พร้อมวางแผนเปิด 15 โครงการใหม่ในปีนี้ มูลค่ารวม 2.62 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 1.28 หมื่นล้านบาท บ้านแฝดและทาวน์โฮม 1.93 พันล้านบาท และโครงการร่วมทุน 1.14 หมื่นล้านบาท

บริษัทตั้งเป้าสัดส่วนยอดขายโครงการบ้านระดับในปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 40% จากปีก่อนที่ 35% เนื่องจากมองว่าตลาดที่อยู่อาศัยระดับยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากกลุ่มผู้ที่มีกำลังซื้อสูงยังมีความสามารถในการซื้อต่อเนื่อง และมองหาโอกาสในการซื้อที่อยู่อาศัยต่อเนื่องเช่นเดียวกัน ขณะเดียวกันบริษัทได้มีการปรับรูปแบบโครงการระดับบนให้ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่มีรายได้สูง ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้บริษัทสามารถขยายฐานลูกค้าใหม่

ส่วนคอนโดมิเนียมในปี 65 จะยังไม่มีการเปิดโครงการใหม่ เพราะมองว่าตลาดยังไม่ฟื้นกลับมาอย่างชัดเจน เพราะกลุ่มลูกค้าหลักเป็นชาวต่างชาติ โดยเฉพาะลูกค้าชาวจีน ซึ่งน่าจะยังไม่สามารถเดินทางออกมานอกประเทศได้ ทำให้ยังขาดปัจจจัยหนุนต่อการฟื้นตัวของตลาดคอนโดมิเนียมในประเทศ

ด้าน นายศานิต เปิดเผยอีกว่า บริษัทคาดว่าในปี 65 จะมีรายได้จากการขายสินทรัพย์ออกไปราว 8.5 พันล้านบาท โดยจะนำรายได้ดังกล่าวไปใช้ในการชำระคืนหนี้สินเป็นส่วนใหญ่เพื่อลดภาระดอกเบี้ย รวมถึงทำให้ฐานะทางการเงินของบริษัทมีความแข้งแกร่งมากขึ้น โดยที่อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ของบริษัทในปี 65 คาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ 1.2 เท่า จากสิ้นปีก่อนอยู่ที่ 1.7 เท่า

ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาขายที่ดิน 2 แปลง มูลค่ารวม 4 พันล้านบาท ได้แก่ ที่ดินย่านรามอิทรา ติดสถานีรถไฟฟ้าคู้บอน เนื้อที่ 60 ไร่ มูลค่า 2 พันล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจากับผู้สนใจซึ่งเป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในประเทศอยู่ 1 ราย คาดว่าจะมีความชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลัง

ขณะเดียวกันที่ดินอีก 1 แปลงในย่านรัชดาฯ ใกล้กับศูนย์วัฒนธรรมฯ ซึ่งเป็นที่ดินของบมจ.วีรีเทล มูลค่า 2 พันล้านบาท ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรากับผู้ที่สนใจ 2 ราย โดยรายแรกเป็นธุรกิจประกันจากต่างประเทศ และอีกรายเป็นผู้ประกอบการค้าปลีกในประเทศ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลังเช่นกัน

นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการเตรียมนำโรงแรม Hyatt Regency Bangkok Sukhumvit ขายเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) โดยมูลค่าของโรงแรมดังกล่าวอยู่ที่ 4.5 พันล้านบาท ถือเป็นโรงแรมที่มีความน่าสนใจเนื่องจากอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพบนถนนสุขุมวิท ที่ได้รับความนิยมเข้าพักของรวมถึงนักธุรกิจต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาติดต่อธุรกิจในประเทศไทย

ขณะที่ นายวิทวัส วิภากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ (GRAND) เปิดเผยว่า ในปี 65 ธุรกิจของบริษัทจะฟื้นตัวและเติบโตอย่างชัดเจน ทั้งธุรกิจโรงแรมที่จะได้รับประโยชน์จากมาตรการเปิดประเทศ

สำหรับรายได้ปีนี้คาดว่าจะเติบโตแบบก้าวกระโดดตั้งเป้าไว้ที่ 5.5 พันล้านบาท มาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 1 พันล้านบาท ธุรกิจโรงแรม 1.8 พันล้านบาท และโครงการร่วมทุน 2.7 พันล้านบาท รายได้หลักจะมาจาก “ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ” โครงการร่วมทุนที่ก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ในไตรมาส 2/65 ซึ่งมียอดขายรอรับรู้รายได้อยู่แล้ว 2.01 พันล้านบาท

ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของ GRAND วางเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 2 พันล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียม 400 ล้านบาท วิลล่าในจังหวัดระยอง 600 ล้านบาท และโครงการร่วมทุนอีก 1 พันล้านบาท ส่วนธุรกิจโรงแรมวางเป้ารายได้ที่ 1.8 พันล้านบาท

นายวิทวัส กลาวอีกว่า อัตราการเข้าพักของโรงแรมในเครือของ GRAND คาดว่าจะกลับเข้าสู่ระดับที่เป็นจุดคุ้มทุน (Breakeven) ในช่วงครึ่งปีหลัง หรือเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่เฉลี่ยราว 50% จากภาคการท่องเที่ยวค่อยๆ ฟื้นตัวกลับมาหลังภาครัฐเริ่มกลับมาเปิดประเทศอีกครั้งในช่วงต้นเดือน ก.พ.แต่ระยะแรกคงต้องพึ่งพานักท่องเที่ยวในประเทศเป็นหลัก และในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะเริ่มเห็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 4/65 ที่จะเห็นการฟื้นตัวชัดเจนมากขึ้น

ส่วนธุรกิจผลิตถุงมือยาง ซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปีปลาย 64 โดยติดตั้งเครื่องจักร 1 และ 2 พร้อมเดินเครื่องและบันทึกรายได้ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา คาดว่าปีนี้จะมีรายได้ 2.15 พันล้านบาท บริษัทอยู่ระหว่างทยอยติดตั้งสายการผลิตอื่นๆ ให้ครบทำให้สามารถรับรู้รายได้จากทั้ง 16 สายการผลิตภายในปีนี้

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 ก.พ. 65)

Tags: , , , , , ,
Back to Top