BJC ตั้งเป้าปี 65 ยอดขายโต 2 Digits-วางงบลงทุน 1.4-1.5 หมื่นลบ.เน้นขยายสาขา

นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ายอดขายปี 65 เติบโตเป็นดับตัวเลข 2 หลัก โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวขึ้นของเศรษฐกิจที่ดีขึ้น แม้ว่าจะยังคงมีการแพร่ระบาดโควิด-19 มาต่อเนื่อง แต่ไม่ได้มีมาตรการล็อกดาวน์ออกมาอย่างเช่นในปีที่ผ่านมา ทำให้การดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศยังคงสามารถทำได้ปกติ ประชาชนสามารถประกอบอาชีพและมีรายได้เข้ามา ทำให้มีกำลังซื้อฟื้นขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อการจับจ่ายใช่สอยที่ฟื้นตัว และส่งผลบวกต่อการฟื้นตัวให้กับบอดขายของบริษัท

ขณะเดียวกันในปีนี้บริษัทยังคงมีการเดินหน้าขยายสาขาใหม่ธุรกิจค้าปลีกในกลุ่มอย่างต่อเนื่อง แบ่งเป็น สาขา Big C รูปแบบ Hyper Market 2-3 สาขา ในไทย สาว และกัมพูชา, Big C Food Place ขยายเพิ่มอีก 5 สาขา, Big C mini จะเปิดสาขาใหม่ในไทย 150-300 สาขา และกัมพูชาอีก 50 สาขา โดย ณ สิ้นปี 65 จะมีสาขาของ Big C ทั้งสิ้น 1,713 สาขา จากปีก่อนที่ 1,572 สาขา

ส่วนร้านขายยาและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ ปีนี้จะเปิดสาขาร้าน Pure 7 สาขา และ SiriPharma อีก 2 สาขา หลังจากปีก่อนเปิดไปแล้ว 1 สาขาที่พรานนก

บริษทวางงบลงทุนรวมในปี 65 ราว 1.4-1.5 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่กว่า 70% จะใช้รองรับการขยายสาขาของ Big C เป็นหลัก พร้อมกับการลงทุนปรับพื้นที่จอดรถบางส่วนมารองรับสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงการทยอยปรับเปลี่ยนรถยนต์ที่ให้บริการขนส่งสินค้าของ Big C มาเป็นรถไฟฟ้า เป็นไปตามเทรนด์ของโลก เนื่องจากบริษัทมองว่าลูกค้าจะหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น หลังจากราคาน้ำมันในปัจจุบันเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เป็นปัจจัยเร่งให้เร็วขึ้น และบริษัทเองก็คำนึงถึงด้านต้นทุนการขนส่ง ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้าจะเป้นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะเข้ามาช่วยบริษัทในการลดต้นทุนการขนส่งได้ค่อนข้างมาก

นายอัศวิน กล่าวว่า สำหรับผลกระทบของราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นอาจจะมีผลต่อต้นทุนในการผลิตขวดแก้วของบริษัท แต่บริษัทก็ได้มีการส่งต่อราคาต้นทุนที่สูงขึ้นไปกับราคาขายขวดแก้วตั้งแต่ตอนทำสัญญากับลูกค้าไว้แล้ว ทำให้ยังสามารถขายขวดแก้วได้ในระดับราคาที่สอดคล้องกับต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นได้ และไม่กระทบต่ออัตรากำไร (มาร์จิ้น) ของการผลิต

ส่วนการผลิตสินค้าอุโภคและบริโภคอื่นส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพราะใช้พลังงานไฟฟ้าในการผลิตเป็นหลัก แต่ในเรื่องต้นทุนของการขนส่งบริษัทยังคงมีการเตรียมความพร้อมในด้านราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม บริษัทยอมรับว่ามีความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการปรับขึ้นของราคาสินค้าต่างๆ หลังราคาพลังงานและราคาวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากผลกระทบสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ซึ่งจะมีผลต่อกำลังซื้อและความมั่นใจของผู้บริโภคให้ชะลอตัวลง โดยเริ่มเห็นสัญญาณของการจับจ่ายใช้สอยที่ชะลอตัวลงในช่วงต้นเดือน มี.ค.ซึ่งอาจจะมีผลมาถึงแนวโน้มของยอดขายในช่วงเดือนนี้ให้ชะลอตัวลงด้วยเช่นกัน

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (07 มี.ค. 65)

Tags: , , ,
Back to Top