รมต.ศก.อาเซียน เร่งบังคับใช้ RCEP/อัพเกรด FTA รับมือวิกฤตยูเครน-โควิด

นายสรรเสริญ สมะลาภา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้รับมอบหมายจากนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ ให้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (AEM Retreat) ครั้งที่ 28 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ผ่านระบบการประชุมทางไกล เมื่อวันที่ 16 มี.ค. ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบมาตรการสำคัญด้านเศรษฐกิจที่กัมพูชาในฐานะประธานอาเซียน ต้องการผลักดันให้บรรลุผลสำเร็จในปีนี้ รวม 19 ประเด็น ภายใต้ 4 ยุทธศาสตร์ คือ 1. ความเชื่อมโยงทางดิจิทัล วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี 2. การลดช่องว่างการพัฒนาเพื่อความสามารถในการแข่งขันของอาเซียน 3. การส่งเสริมการบูรณาการ การมีส่วนร่วม ความยืดหยุ่น และความสามารถในการแข่งขันที่มากขึ้นของอาเซียน และ 4. การเป็นส่วนสำคัญของประชาคมโลกเพื่อการเติบโตและการพัฒนา

นายสรรเสริญ กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ โดยมาตรการสำคัญด้านเศรษฐกิจดังกล่าว รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนได้เน้นเรื่องการเจรจาอัพเกรดความตกลงการค้าเสรี (FTA) อาเซียนกับออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ การเร่งรัดให้ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) มีผลใช้บังคับกับทุกประเทศโดยเร็ว และร่วมกันประกาศเริ่มเจรจาอัพเกรดความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน เพื่อให้ทันสมัยและสอดคล้องกับรูปแบบการค้าระหว่างประเทศในปัจจุบันมากขึ้น ซึ่งตั้งเป้าหมายให้สามารถสรุปผลการเจรจาภายในปี 67

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้หารือแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจในภูมิภาคจากปัญหาโควิด-19 ซึ่งไทยได้เสนอ 3 ปัจจัยสำคัญ สำหรับสนับสนุนการฟื้นฟู ได้แก่ การเคลื่อนย้ายบุคคลในภูมิภาคให้ครอบคลุมนักท่องเที่ยว การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลให้มากขึ้น และการดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ฉบับต่างๆ ของอาเซียนอย่างมีประสิทธิภาพ

ขณะเดียวกัน รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนได้เห็นชอบในหลักการขยายอายุบันทึกความเข้าใจ (MOU) ที่อาเซียนจะไม่จำกัดการส่งออกสินค้าจำเป็นในช่วงโควิด-19 ไปจนถึงเดือนพ.ย. 67 และเร่งรัดประเทศสมาชิกให้ความเห็นต่อการขยายบัญชีรายการสินค้าจำเป็น ซึ่งไทยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการประเมินผลกระทบของ MOU เพื่อประกอบการพิจารณาขยายบัญชีรายการสินค้าให้จำกัดเพียงสินค้าที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 และห่วงโซ่การผลิตเท่านั้น

นายสรรเสริญ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ประชุมได้ร่วมกันกำหนดยุทธศาสตร์ด้านความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับประเทศนอกอาเซียนและแนวทางเจรจาในประเด็นใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อยกระดับความความตกลงการค้าเสรีของอาเซียนกับคู่เจรจา อาทิ การพัฒนาอย่างยั่งยืน แรงงาน สิ่งแวดล้อม และการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ

ด้านประเทศไทย ได้เน้นย้ำว่า อาเซียนต้องแสดงบทบาทเชิงรุก และความเป็นแกนกลางของอาเซียน เพื่อขยายความสัมพันธ์กับประเทศนอกภูมิภาค โดยต้องมีวิสัยทัศน์และจุดยืนที่ชัดเจน ซึ่งล่าสุดอาเซียนกับอินเดียสามารถสรุปขอบเขตของการทบทวนความตกลงการค้าสินค้า โดยรัฐมนตรีมอบหมายเจ้าหน้าที่อาเซียนให้ทำงานร่วมกับอินเดีย เพื่อกำหนดเวลาประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียน-อินเดียรอบพิเศษ

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้หารือถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน ที่มีต่ออาเซียน ซึ่งผลกระทบทางตรงมีไม่มากนัก เนื่องจากมูลค่าการค้าระหว่างอาเซียนและรัสเซียอยู่ในระดับต่ำ แต่ประเทศอาเซียนที่มีการนำเข้าวัตถุดิบหลักจากรัสเซียอาจได้รับผลกระทบปานกลาง อาทิ เชื้อเพลิง แร่และโลหะ และเหล็กและเหล็กกล้า ซึ่งจะส่งผลไปยังอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ อาจมีผลกระทบทางอ้อมจากเงินเฟ้อ ความผันผวนของตลาดการเงิน และการขาดช่วงในห่วงโซ่การผลิต ซึ่งจะส่งผลการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของอาเซียนช้าลง

อย่างไรก็ดี รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนหวังว่า ทั้งสองประเทศจะสามารถเจรจาหาข้อตกลงกันได้โดยเร็ว เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับเศรษฐกิจโลกและอาเซียนในระยะยาว ซึ่งไทยได้เสนอให้อาเซียนดำเนินการร่วมกัน ทั้งเรื่องการเปิดตลาดสินค้า การอำนวยความสะดวกทางการค้า และความร่วมมือทางด้านพลังงาน เพื่อลดผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นในภูมิภาค

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้หารือข้อริเริ่มและการดำเนินการกับสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน (ASEAN-BAC) โดยจะร่วมมือกันผลักดันประเด็นสำคัญในปีนี้ อาทิ การอำนวยความสะดวกทางการค้า ความยั่งยืนและเศรษฐกิจหมุนเวียน การเตรียมความพร้อมอาเซียนเพื่อก้าวไปสู่สังคมดิจิทัล และการรับมือผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโควิด-19 สำหรับไทยได้แจ้งที่ประชุมทราบถึงการเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปค ภายใต้แนวคิด “เปิดกว้างสร้างสัมพันธ์ เชื่อมโยงกัน สู่สมดุล” (Open. Connect. Balance.) ซึ่งสอดคล้องกับประเด็นที่อาเซียนให้ความสำคัญในปีนี้

สำหรับในเดือนม.ค. 65 การค้าระหว่างไทยกับอาเซียน มีมูลค่า 9,321 ล้านเหรียญสหรัฐ (+8.7%) เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยไทยส่งออกไปอาเซียน มูลค่า 5,263 ล้านเหรียญสหรัฐ (+8.2%) และไทยนำเข้าจากอาเซียน มูลค่า 4,058 ล้านเหรียญสหรัฐ (+9.3%) ทั้งนี้ เมื่อปี 64 การค้าระหว่างไทยกับอาเซียน มีมูลค่า 110,799 ล้านเหรียญสหรัฐ (+17.1%) เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยไทยส่งออกไปอาเซียน มูลค่า 65,015 ล้านเหรียญสหรัฐ (+17.2%) และไทยนำเข้าจากอาเซียน มูลค่า 45,784 ล้านเหรียญสหรัฐ (+16.9%)

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 มี.ค. 65)

Tags: , , ,
Back to Top