PLUS เคาะราคา IPO หุ้นละ 4.50 บาท เปิดจอง 11-13 พ.ค.เข้าเทรด 20 พ.ค.

บมจ.โรแยล พลัส (PLUS) กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนครั้งแรก (IPO) จำนวน 170 ล้านหุ้น ที่หุ้นละ 4.50 บาท โดยมีมูลค่าที่ตราไว้ (Par value) หุ้นละ 0.50 บาท เปิดให้จองซื้อในช่วงวันที่ 11-13 พ.ค. และจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) หมวดธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ในวันที่ 20 พ.ค.65 โดยมี บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น IPO ของ PLUS

พร้อมแต่งตั้งผู้ร่วมจัดจำหน่ายหุ้น IPO ได้แก่ บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง, บล.พาย, บล.ฟินันเซีย ไซรัส, บล.หยวนต้า และ บล.เอเซีย พลัส

บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ไปใช้ลงทุนในโครงการขยายโรงงานและลงทุนเครื่องจักรเพิ่มเติม จ่ายคืนหนี้สินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบธุรกิจเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต อีกทั้งเป็นการยกระดับมาตรฐานของบริษัทเข้าสู่มาตรฐานสากล เพิ่มความน่าเชื่อถือในด้านภาพลักษณ์ ให้เป็นที่ยอมรับของลูกค้าและคู่ค้า รวมถึงเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน

PLUS เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มรายใหญ่ สินค้าแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มน้ำผลไม้ ได้แก่ เครื่องดื่มน้ำนมมะพร้าว แบรนด์ Coco Royal เครื่องดื่มน้ำมะพร้าว ภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯ Coco Royal เครื่องดื่มน้ำผลไม้ผสมเม็ดแมงลัก แบรนด์ Nita เครื่องดื่มน้ำผลไม้ผสมเมล็ดเชีย ภายใต้แบรนด์ Coco Royal และ Mabu

กลุ่มเครื่องดื่มทั่วไป ได้แก่ ชานม แบรนด์ Mabu เครื่องดื่มวิตามิน แบรนด์ C-Boom และเครื่องดื่มอื่นๆ เช่น นมถั่วเหลือง เครื่องดื่มกาแฟผสมน้ำนมมะพร้าว แบรนด์ Coco Coff โดยส่วนใหญ่เป็นสินค้ากลุ่มรับจ้างผลิต (OEM) นอกจากนี้ PLUS ได้พัฒนาและทำการตลาดสินค้า แบรนด์ที่ PLUS พัฒนาเอง (Company Brand) อีกด้วย

นางสาวสุวิมล ศรีโสภาจิต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ราคาเสนอขายหุ้น IPO ของ PLUS ที่หุ้นละ 4.50 บาท ถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสม คิดเป็นอัตราส่วนมูลค่ากิจการต่อกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EV/EBITDA) ที่ราว 15.3 เท่า โดยคำนวณจาก EBITDA ในช่วง 12 เดือนย้อนหลัง (1 ม.ค.- 31 ธ.ค.64) สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของ PLUS ด้วยผลประกอบการที่มีความสามารถในการทำกำไรสูงต่อเนื่อง และมีแนวโน้มเติบโตในอนาคต

การระดมทุนในครั้งนี้คาดว่าจะได้รับเงินเข้ามาราว 735 ล้านบาท วัตถุประสงค์เพื่อใช้ลงทุนขยายโรงงานและลงทุนเครื่องจักรเพิ่มเติม จำนวน 235.30 ล้านบาท ใช้ชำระคืนหนี้เงินกู้ยืมสถาบันการเงิน จำนวน 75 ล้านบาท และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ 424.70 ล้านบาท

PLUS ผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มไปหลากหลายทวีปทั่วโลก โดยสัดส่วนรายได้จากการส่งออกในปี 63 และ 64 อยู่ที่ 98.9% และ 98.5% ตามลำดับ โดยมีประเทศคู่ค้าหลักอยู่ในทวีปต่างๆ ได้แก่ ทวีปอเมริกา ทวีปเอเชีย และทวีปยุโรป ส่งผลให้มีรายได้จากการขายอยู่ในรูปสกุลเงินต่างประเทศในสัดส่วนสูง แม้ว่าค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าตั้งแต่ปี 61 แต่รายได้ของ PLUS ในช่วงปี 61-64 ยังเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 8.5% จากกลยุทธ์ที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้รวดเร็ว รวมถึงการขยายฐานลูกค้าสำหรับตลาดใหม่ นำเสนอสินค้าที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค

นอกจากนี้ PLUS ยังได้รับการรับรองคุณภาพที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากลหลายรายการ ได้แก่ ISO 22000, FSSC 22000, GMP, HACCP และ U.S. FDA Standard, Halal การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในครั้งนี้ จึงเป็นการสนับสนุนและพัฒนา เพื่อรองรับโอกาสเติบโตในอนาคตและเชื่อมั่นว่า PLUS จะเป็นหุ้นคุณภาพที่เติบโตไปพร้อมกับเทรนด์การเติบโตของเครื่องดื่มสุขภาพทั่วโลก โดยคาดว่ามูลค่าตลาดเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพทั่วโลกจะเติบโต 6.1% ต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า (ปี 64-67) แม้จะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา แต่จากสถานการณ์ที่ผ่อนคลายลง ทำให้เชื่อว่าบริษัทจะได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุน และเล็งเห็นถึงโอกาสการขยายธุรกิจในอนาค

นายพลแสง แซ่เบ๊ กรรมการผู้อำนวยการ PLUS กล่าวว่า การเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้จะเข้ามาเสริมความแข็งแกร่ง และสร้างศักยภาพในการแข่งขันให้กับบริษัทได้อย่างมีนัยสำคัญ

บริษัทมีเป้าหมายจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นแบรนด์ของตัวเองอย่างน้อยปีละ 2 ผลิตภัณฑ์ เนื่องจากต้องการรสร้างแบรนด์ และสนับสนุนความสามารถในการรับรู้กำไรสูงขึ้น และการบริหารวัตถุดิบที่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากสามารถใช้วัตถุดิบหลักในกลุ่มเดียวกันกับสินค้าที่ผลิตให้ลูกค้าได้ ตลอดจนอำนาจต่อรองในการสั่งซื้อวัตถุดิบในปริมาณมากขึ้นและประโยชน์ที่ได้จากการประหยัดจากขนาด (Economies of Scale)

โดยบริษัทเริ่มพัฒนาและทำการตลาดสินค้าภายใต้แบรนด์ของตนเองตั้งแต่ปี 57 และในปี 64 ได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่เพิ่มขึ้นอีก 2 รายการคือ ชานมผสมไข่มุกบุกแบรนด์ MABU และเครื่องดื่มวิตามินแบรนด์ C-Boom และปัจจุบัน PLUS อยู่ในระหว่างการพัฒนาเครื่องดื่มที่ทำจากพืช (Plant-Based Drinks) หลายชนิดเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าที่รักสุขภาพและชื่นชอบวัตถุดิบธรรมชาติ (Natural Ingredients)

นอกจากนี้บริษัทมีแผนจะนำสินค้าภายใต้แบรนด์ของตนเองที่ได้รับความนิยมในแต่ละประเทศไปจำหน่ายในประเทศที่มีลูกค้าที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน รวมถึงขยายตลาดไปยังประเทศเพื่อนบ้านด้วย โดยคาดว่าสถานการณ์หรือยอดการส่งออกอาจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งจากการวางแผนการขายและการตลาด พบว่าความต้องการสินค้ายังคงมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยผลกระทบที่เกิดขึ้นส่งผลกับต้นทุนค่าขนส่งของลูกค้าปลายทางและการหาพื้นที่สายเรือของบริษัทจึงใช้กลยุทธ์ “Focus Customers” ในการมุ่งเน้นการขายไปที่ภูมิภาคที่มีผลกระทบจากสายเรือที่น้อยกว่า เช่น ภูมิภาคเอเชีย ประเทศเพื่อนบ้านกลุ่ม CLMV และประเทศไทย ควบคู่ไปกับทำกิจกรรมส่งเสริมการขายเพื่อช่วยเหลือลูกค้ารายใหญ่ที่มีผลกระทบจากปัญหาดังกล่าว และการติดตามการจองสายเรือกับลูกค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อจัดส่งสินค้าของลูกค้าให้เป็นไปตามกำหนด

ภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา (ปี 61-64) มีรายได้จากการขาย 786.4 ล้านบาท 891.5 ล้านบาท 1.1 พันล้านบาท และ 1 พันล้านบาท ตามลำดับ เนื่องจากการเติบโตของผลิตภัณฑ์กลุ่มน้ำมะพร้าว และคำสั่งซื้อของลูกค้าทวีปอเมริกาเพิ่มขึ้น ขณะที่มีกำไรสุทธิ 1.3 ล้านบาท 11.7 ล้านบาท 57.2 ล้านบาท และ 85.6 ล้านบาทตามลำดับ คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 0.2% 1.3% 5.2% และ 8.5% ตามลำดับ จากการบริหารจัดการการผลิต ต้นทุน และการดำเนินการที่ดีขึ้นทำให้ความสามารถในการทำกำไรปรับตัวดีขึ้น

สำหรับเป้าหมายยอดขายของบริษัทในปี 65 บริษัทตั้งเป้าเติบโต 50% จากปีก่อน เนื่องจากแนวโน้มความต้องการสั่งซื้อสินค้ายังคงมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จากการกลับมาเปิดประเทศอีกครั้งของหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่เศรษฐกิจมีการกลับมาฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว และยังได้รับอานิสงส์จากเงินบาทอ่อนค่า ช่วยทำให้การสั่งซื้อสินค้าเพิ่มมากขึ้น และยังได้รับอานิสงส์ในแง่ของการสนับสนุนผลกำไรให้กับบริษัทในปีนี้ด้วย

ด้านโครงสร้างผู้ถือหุ้นของ PLUS ประกอบด้วยกลุ่ม นายพลแสง แซ่เบ๊ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ก่อตั้งและเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ สัดส่วนก่อนและหลัง IPO ที่ 77.7% และ 57.9% ตามลำดับ และผู้ถือหุ้นอื่นถือหุ้นรวมกัน ในสัดส่วนก่อนและหลัง IPO ที่ 22.3% และ 16.7% ตามลำดับ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (09 พ.ค. 65)

Tags: , , ,
Back to Top