AIT เผยกิจการร่วมค้าคว้างาน รฟท.มูลค่า 947.5 ลบ.ตุน Backlog เฉียด 8 พันลบ.

นายศิริพงษ์ อุ่นทรพันธุ์ ประธานคณะกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.แอ็ดวานซ์อินฟอร์เมชั่นเทคโนโลยี (AIT) เปิดเผยว่า บริษัทฯ พร้อมมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ เพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาวต่อไป โดยล่าสุด การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้ร่วมลงนามสัญญากับกิจการค้าร่วมเอเอ (AA Joint Venture : AIT และ Appworks) โดยบริษัทมีสัดส่วนในกิจการร่วมค้าดังกล่าวราว 50% เพื่อดำเนินโครงการจ้างพัฒนาระบบติดตามขบวนรถไฟและจัดการงานขนส่งสินค้าของการรถไฟแห่งประเทศไทย (Train Tracking and Freight Management System) โดยมีระยะเวลาโครงการทั้งสิ้น 18 เดือน รวมมูลค่าโครงการ 947.5 ล้านบาท

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวจัดทำขึ้นเพื่อติดตามขบวนรถแบบเรียลไทม์ โดยผู้โดยสารสามารถดูผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งจะสามารถทราบได้ทันทีว่าขบวนรถที่ต้องการเดินทางอยู่ที่ใดและอีกกี่นาทีจะเข้ามาถึงสถานี ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านคมนาคม แก้ปัญหาความล่าช้าและยังอำนวยความสะดวกให้ประชาชน โดยคาดว่า AA Joint Venture จะส่งมอบงานให้แล้วเสร็จภายในเดือนตุลาคม 2566

ปัจจุบัน บริษัทฯ มีมูลค่างานในมือ (Backlog) ณ วันที่ 6 พฤษภาคม 2565 อยู่ที่ 7,900 ล้านบาท และยังมีงานที่อยู่ระหว่างรอคำสั่งซื้อจากลูกค้า (Waiting for P/O) อีกประมาณ 590 ล้านบาท ส่งผลให้ผลการดำเนินงานของ AIT

ประธานคณะกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ AIT กล่าวว่า ในปี 65 คาดว่าจะเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 15% หรือ คิดเป็นรายได้ 7,400 ล้านบาท อย่างแน่นอน

สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/65 บริษัทมีรายได้จากงบการเงินรวมอยู่ที่ 1,399 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการรับรู้งานโครงการต่างๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยทยอยส่งมอบงานโครงการขนาดใหญ่ เช่น โครงการซื้อขายและติดตั้งระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ระยะที่ 2 โครงการจ้างนำสายไฟลงใต้ดินเพื่อส่งเสริมสภาพพื้นที่สำหรับเมืองการบินภาคตะวันออกช่วงจากปากทางเข้าสนามบินนานาชาติอู่ตะเภาถึงแยกวงเวียนอู่ตะเภา และโครงการจ้างนำสายไฟลงใต้ดินเพื่อส่งเสริมสภาพพื้นที่สำหรับเมืองการบินภาคตะวันออกช่วงจากแยกอู่ราชนาวีมหิดล อดุยเดชถึงท่าเรือจุกเสม็ด เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ พร้อมเดินหน้าเข้าร่วมประมูลงานอย่างต่อเนื่องทั้งภาครัฐ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ รวมถึงภาคเอกชน หลังเศรษฐกิจเริ่มทยอยฟื้นตัว โดยหลายๆ องค์กรได้เดินหน้าปรับปรุงระบบเทคโนโลยีให้มีความทันสมัย เพื่อเตรียมรับมือกับโลกดิจิทัล ซึ่งมีการลงทุนด้านเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ อีกทางหนึ่ง ส่งผลให้มีงานดังกล่าวทยอยเปิดให้เข้าร่วมประมูลจำนวนมาก

ขณะที่กำไรสุทธิในไตรมาส 1/65 ทำได้ 166 ล้านบาท โดยเป็นผลจากการรับรู้กำไรหลังหักต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ ประกอบกับมีกำไรจากการขายหุ้นบริษัท เจเนซิส ดาต้า เซ็นเตอร์ จำกัด (Genesis Data Center) ในสัดส่วน 33.33% ให้กับ ETIX Everywhere (ETIX) พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ได้เดินหน้าบริหารจัดการและควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพส่งผลให้สามารถควบคุมอัตรากำไรสุทธิให้อยู่ที่ระดับ 7-8%

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (13 พ.ค. 65)

Tags: , , , ,
Back to Top