BCPG เดินหน้าเพิ่มกำลังผลิตเท่าตัวใน 5 ปี ด้วยงบ 9.5 หมื่นลบ.กระจายความเสี่ยงพอร์ต

นายนิวัติ อดิเรก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บีซีพีจี (BCPG) เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนในอีก 5 ปีข้างหน้า (ปี 65-69) จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าโตเท่าตัวเป็น 4,250 เมกะวัตต์(MW) ที่จะมาจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 1,500-3,000 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันมีกำลังผลิต 2,155 เมกะวัตต์

โดยปัจจุบันมีโครงการที่กำลังดำเนินการอยู่ได้แก่ ในญี่ปุ่น โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ชิบะ 2 กำลังผลิต 10 เมกะวัตต์ คาดจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์(COD) ครึ่งหลังปี 66 , ในฟิลิปปินส์ โรงไฟฟ้าพลังงานลม ที่เมืองนาบาส (Nabas) บนเกาะวิซายัส (Visayas) (ส่วนต่อขยาย) 5.6 เมกะวัตต์ ในไต้หวัน โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาด 469 เมกะวัตต์ ทยอยCOD ในไตรมาส 4/65 ถึงครึ่งหลังปี 68 และในลาว โรงไฟฟ้าพลังานลม มีกำลังผลิต 230 เมกะวัตต์ ตามสัดส่วนถือหุ้น 38% คาด COD ในปี 68 ซึ่งเซ็นสัญญาซื้อขายไฟแล้ว รอรัฐสภาลาวอนุมัติสัญญาสัมปทาน และใกล้เซ็นจ้างผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการ

ทั้งนี้แผนการเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าใน 5 ปี จะใช้เงินลงทุน 9.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งในปี 65 ใช้งบลงทุน 3.03 หมื่นล้านบาท ปี 66 ใช้งบลงทุน 3.86 หมื่นล้านบาท ในปี 67 ใช้งบ 1.92 หมื่นล้านบาท ปี 68 ใช้งบ 4.9 พันล้านบาท และ ปี 69 จำนวน 2.1 พันล้านบาท

นายนิวัติ กล่าวว่า ปัจจุบัน บริษัทลงทุนในประเทศกำลังพัฒนา เช่น ไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ในประเทศพัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่น ส่วนประเทศที่เป็น Front tier เช่น ลาว เวียดนาม ซึ่งเป้าหมายในปี 69 บริษัทพยายามวางพอร์ตการลงทุนให้สมดุล และกระจายความเสี่ยง โดยเป็นการลงทุนในประเทศกำลังพัฒนา 50% ประเทศพัฒนาแล้ว 25% และประเทศที่เป็น Fronttier ซึ่งมีความเสี่ยงสูงวางไว้ที่ 25%

“ทิศทางที่เราจะขยายธุรกิจออกไป เราก็พยายามทำให้มั่นใจว่าทิศทางที่จะขยายออกไปตอบโจทย์ของเราได้ทุกๆส่วน โดยที่เราจะมอง Factor หลักๆ อย่างเรื่อง Geography , Location ไหนที่เราจะเข้าไปดูความเสี่ยงประเทศด้วย เพื่อให้ได้มั่นใจเรื่องสัดส่วนที่กล่าวไปแล้ว และจะให้มั่นใจโครงการสามารถเดินหน้าได้ ไปดูที่ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น ไต้หวัน มาเลเซีย ที่เราจะโฟกัสเข้าไปด้วย นอกจากนี้จะพิจารณาเรื่องของเทคโนโลยี ซึ่งเทคโนโลยีหลักที่เราลงทุนอยู่ปัจจุบันคือ โครงการ Solar ลม น้ำ และมีแบตเตอรี่อยู่แล้ว และลงทุน Digital Energy เพื่อให้ประหยัดพลังงาน” นายนิวัติ กล่าว

นอกจากนี้ ที่ยังต้องพิจารณาการลงทุนโครงการที่รับรู้รายได้ให้เร็วที่สุด ซึ่งก็จะดูเรื่อง Operating Asset เพื่อจะได้รับรู้รายได้ได้ทันที ส่วนในระยะกลางและระยะยาว บริษัทจะเน้นโครงการ Greenfield ซึ่งจะมีมาร์จิ้นที่สูงขึ้น

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (07 มิ.ย. 65)

Tags: , , ,
Back to Top