CONSENSUS: โบรกฯเชียร์ “ซื้อ” CPALL จากยอดขาย Q2/65 โตรับเปิดเมือง ท่องเที่ยวฟื้นหนุน

โบรกเกอร์ต่างแนะนำ “ซื้อ” หุ้นบมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) จากยอดขาย SSSG ไตรมาส 2/65 ยังเป็นบวกต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้จะมีแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่ส่งผลต่อกำลังซื้อลดลง แต่ได้ปัจจัยหนุนจากการกลับมาเปิดโรงเรียน กลับมาทำงาน และเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งล้วนส่งผลดีต่อยอดขายของร้านสะดวกซื้อ 7-eleven และ Makro, Lotus

อีกทั้งภาพรวมผลประกอบการในครึ่งปีหลังนี้ก็น่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก จาก SSSG ยังเติบโตต่อเนื่อง โดยได้ประโยชน์จากการปลดล็อกมาตรการคุมโควิด-19 ของภาครัฐ เช่น การยกเลิก Thailand Pass ส่งผลดีต่อภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวดีขึ้น หนุนต่อยอดขายฟื้นตัวตามไปด้วย ซึ่งน่าจะเห็นภาพชัดเจนในครึ่งปีหลังนี้เป็นต้นไป

ราคา CPALL ปิดเที่ยงที่ 61.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท (+2.07%) ขณะที่ดัชนี SET ลบ 0.28%

โบรกเกอร์คำแนะนำราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น)
 หยวนต้าซื้อ73.00
ทรีนีตี้ซื้อ72.00
พายซื้อ72.25
เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ซื้อ80.00
ฟิลลิปซื้อ75.00
แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ซื้อ72.00

นางสาววิชชุดา ปลั่งมณี ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า คาดยอดขายต่อสาขาเดิม (Same Store Sale Growth:SSSG) ของร้าน 7-eleven ในไตรมาส 2/65 ยังเติบโตได้ 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยได้ประโยชน์จากการกลับมาเปิดโรงเรียน และการกลับไปทำงาน รวมถึงวันหยุดยาวจากเทศกาลสงกรานต์ แม้ในเดือนมิ.ย. อาจมีผลกระทบจากการเริ่มเข้าสู่ฤดูฝน ส่งผลให้กำลังซื้อลดลง ขณะที่ SSSG ของ MAKRO คาดเติบโต 6-9% จากช่วงปีก่อน จากแรงซื้อของกลุ่มลูกค้าร้านอาหารที่สามารถเปิดได้เต็มที่ และเริ่มเห็นการจัดเลี้ยงโดยเฉพาะสาขาในเมืองท่องเที่ยวที่เริ่มเห็นยอดขายที่ฟื้นตัวเพิ่ม ด้านยอดขาย Lotus อาจยังทำได้น้อยกว่า เมื่อเทียบกับ 7-eleven และ MAKRO

ส่วนเงินเฟ้อที่ปรับตัวขึ้น มองว่าอาจส่งผลกระทบกับกำลังซื้อให้ปรับตัวลดลง แต่เชื่อว่าสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับอุปโภคบริโภคยังมีความจำเป็นต่อชีวิตประจำวัน และยังเห็นการจับจ่ายใช้สอย มากกว่าสินค้าคงทนหรือสินค้าฟุ่มเฟือย ขณะที่ก็คาดหวังสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 จะคลี่คลายดีขึ้น ทำให้มีการเดินทาง ท่องเที่ยว การจัดกิจกรรมต่างๆ เพิ่มขึ้น สอดคล้องกับมาตรการรัฐ ที่หนุนการท่องเที่ยวจากการเพิ่มสิทธิ์เราเที่ยวด้วยกัน และการผ่อนปรนมาตรการต่างๆ ทั้งการเปิดสถานบันเทิง การยกเลิกไทยแลนด์พาส คาดจะเริ่มเห็นนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศ 2.5 -3 หมื่นคนต่อวัน ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งช่วยสนับสนุนกำลังซื้อให้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะช่วงไตรมาส 3/65 ต่อเนื่องไปยังไตรมาส 4/65 ซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลจับจ่ายใช้สอย

ทั้งนี้จากกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ต่างๆ จะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคตอันใกล้นี้ ทาง CPALL มีภาระดอกเบี้ยเป็นหนี้ที่เป็น (Float Rate) มาจากของ MAKRO โดยรวมราว 1 แสนล้านบาท คิดเป็น 32% ของหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยโดยรวม ซึ่งมีต้นทุนทางการเงินราว 3.5%-4% ก็อาจจะได้รับผลกระทบดังกล่าว แต่อย่างไรก็ดีภายในปี 65 MAKRO มีแผนหาแหล่งที่มาของเงินทุนแหล่งอื่นที่สามารถลดต้นทุนทางการเงิน ขณะเดียวกันก็มองว่าการขึ้นอัตราดอกเบี้ยน่าจะเกิดขึ้นในช่วง เดือน ส.ค. หรือช่วงท้ายของปีนี้ อาจมีผลกระทบจริงในครึ่งปีหลังนี้เท่านั้น จึงคาดว่าจะมีผลกระทบต่อกำไรในปี 65 ไม่มาก เนื่องด้วยบริษัทสามารถบริหารและควบคุมต้นทุนได้

เลือก CPALL เป็นหุ้น Top pick ของกลุ่มค้าปลีก โดยคาดยอดขายจะฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป จากร้านค้าสะดวกซื้อ และธุรกิจ Cash & Carry ของ MAKRO รวมถึง Hypermarket และ Supermarket ของ Lotus หลังจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่มีสถานการณ์ดีขึ้น รวมถึงมาตรการภาครัฐที่ให้การสนับสนุน การขยายระยะเวลาการเปิด-ปิด ร้านอาหารและสถานบันเทิงเพิ่ม รวมถึงนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศที่ทยอยกลับมา เป็นปัจจัยหนุนต่อยอดขายในระยะยาว ซึ่งอาจเป็นส่วนช่วยรองรับผลกระทบจากการปรับเพิ่มของเงินเฟ้อได้บางส่วน ขณะที่ผลกระทบจากภาระดอกเบี้ย ทางบริษัทอยู่ระหว่างบริหารจัดการที่คาดจะช่วยรักษา หรือลดระดับต้นทุนทางการเงินจากการหาแหล่งที่มาขอเงินทุนแห่งใหม่ที่มีความเหมาะสมได้

บล.พาย ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คาดแนวโน้มไตรมาส 2/65 กำไรจะเติบโตจากปีก่อนได้จากฐานที่ต่ำ และการรวมโลตัสเข้ามาใน Makro และเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/65 มีโอกาสเติบโตได้เช่นกัน จากผลดีของการเปิดเมืองและการที่ Makro มีการคืนเงินกู้ไปบางส่วน แต่อาจจะไม่มากนัก เพราะยังมีค่าใช้จ่ายในการรีแบรนด์โลตัสอยู่ ขณะที่จากสถานการณ์ปัจจุบันที่เงินเฟ้อปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้สินค้าหลายรายการมีการปรับราคาขายขึ้นซึ่งเป็นปัจจัยบวกสำหรับรายได้ของ CPALL ที่จะ ทำให้ยอดขายต่อสาขาเดิม (Same Store Sale Growth) เพิ่มขึ้น เห็นได้จากในช่วงไตรมาส 1/65 เงินเฟ้อทำให้ SSSG เพิ่มขึ้นได้ประมาณ 2-3% จากทั้งหมดที่เติบโต 13% ซึ่งในช่วงไตรมาส 2/65 ก็คาดว่า SSSG ยังคงสูง กว่า 10% ได้อีกไตรมาส

นอกจากนี้ CPALL ยังได้รับผลดีจากมาตรการผ่อนคลายโควิดของภาครัฐโดยเฉพาะการยกเลิกไทยแลนด์ พาส สำหรับผู้ที่เดินทางเข้าประเทศ ทำให้ภาคการท่องเที่ยวกลับมา จึงมองว่าสาขาที่อยู่ในจังหวัดท่องเที่ยวหลักนอกเหนือจากกรุงเทพ ที่มีกว่า 15% จะมียอดขายที่กลับมาเติบโตได้อีกครั้ง ด้านการเปิดสาขาใหม่ยังมีอย่างต่อเนื่องโดยคาดว่าในช่วงไตรมาส 2/65 จะเปิดอีกอย่างน้อย 200 สาขาในประเทศ อีกทั้งด้วยภาพการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวทำให้ผลประกอบการของทาง MAKRO และ โลตัส ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อ CPALL ด้วยอีกทาง

บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คาดกำไรไตรมาส 2/65 ทรงตัว เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ที่ราว 3,500-3,600 ล้านบาท แต่คาด SSSG จะยังเติบโตได้ที่ 10% แม้ว่าจะมีแรงกดดันจากเงินเฟ้อบ้าง แต่บริษัทได้ออกผลิตภัณฑ์ที่ราคาถูกลง แต่เน้นยอดขายที่เพิ่มขึ้นซึ่งจะยังคงทำให้ Spending per ticket เพิ่มขึ้นได้ รวมถึงจากการเปิดประเทศ และการที่โรงเรียนกลับมาเปิดและพนักงานกลับมาเข้าออฟฟิศซึ่งช่วยเพิ่ม SSSG ให้กับบริษัท

แนวโน้มครึ่งปีหลังคาดว่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก จากการยกเลิกมาตรการ Thailand Pass คาดว่าจะเพิ่มยอดนักท่องเที่ยวในครึ่งปีหลังราว 4.8 ล้านราย ซึ่งจะเพิ่มยอดขายของ 7-11 ที่อยู่ในจังหวัดท่องเที่ยวหลักๆ (คิดเป็น 15% ของสาขาทั้งหมด) ประมาณการกำไรปี 65 ที่ 14,351 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.5% และในปี 66 ที่ 23,824 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 66% กลับเข้ามาสู่ระดับปกติก่อนช่วงโควิด

สำหรับประเด็นเงินเฟ้อ ถือเป็นปัจจัยที่ผู้บริหารยังคงติดตามอย่างใกล้ชิด โดยผลกระทบหลักๆ จะอยู่ที่ต้นทุนการขายจากปัจจัยทางด้านพลังงานที่มาจากค่าไฟและราคาน้ำมัน ซึ่งมองว่าจะมีผลกระทบไม่มาก ปัจจุบันสัดส่วนค่าใช้จ่ายด้าน utilities อยู่ที่ 8.5% (คิดเป็นค่าไฟและค่าน้ำมันประมาณ 5% และ 2% ของ consolidated SG&A ไตรมาส 1/65) ซึ่งการขึ้นของราคาน้ำมันดีเซลและค่าไฟคาดว่าจะมีผลกระทบต่อ SG&A สิ้นปีประมาณ 1.4%

ขณะเดียวกันเงินเฟ้อก็ดันยอดขายผลิตภัณฑ์ อิ่มคุ้ม ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคในช่วงที่ค่าครองชีพสูง แต่ด้วยตัวผลิตภัณฑ์ที่มี margin ต่ำ ทำให้ gross margin ของยอดขายอาหารโดยรวมลดลงเหลือ 26% (26.3% ในไตรมาส 1/64) แม้ว่า Margin อาจจะลดลง แต่ถูกชดเชยด้วย Spending per ticket ที่จะเพิ่มขึ้น

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (06 ก.ค. 65)

Tags: , , ,
Back to Top