ออมสิน ประเดิมเปิดธุรกิจสินเชื่อที่ดิน-ขายฝากผ่านบริษัทร่วมทุนใน ต.ค.

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ในเดือนต.ค.นี้ ธนาคารจะเริ่มเปิดให้บริการสินเชื่อที่ดินและขายฝาก เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนที่มีต้นทุนถูกลงและเป็นธรรมสำหรับคนไทย โดยการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนเป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งการอนุมัติสินเชื่อ Digital Lending โดยใช้ Alternative Data เริ่มโครงการต้นแบบในเดือน พ.ย.65

รวมถึงเร่งรัดการช่วยเหลือฟื้นฟูคุณภาพชีวิตประชาชนผ่านโครงการสร้างงานสร้างอาชีพ ตั้งเป้าช่วยผู้เดือดร้อนได้ถึง 200,000 รายภายในสิ้นปี

สำหรับผลการดำเนินงานในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา การลดต้นทุนทางธุรกิจ และควบคุมค่าใช้จ่ายดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ทำให้ธนาคารมีกำไรสุทธิ (ณ 30 มิ.ย. 65) จำนวน 15,831 ล้านบาท คาดการณ์กำไรทั้งปีที่ 29,000 ล้านบาท

“กำไรของแบงก์ไม่ได้มาจากการขึ้นดอกเบี้ย ขึ้นค่าธรรมเนียม แต่มาจากการไม่ขึ้นดอกเบี้ย ไม่ขึ้นค่าธรรมเนียม แต่ได้ปรับลดต้นทุนการดำเนินงาน ด้วยการปรับลดการตั้งงบประมาณ และควบคุมการเบิกจ่ายงบประมาณ ซึ่งจะเห็นได้ว่าในปี 64 มีการตั้งงบประมาณไว้ที่ 34,956 ล้านบาท ลดลงจากในปี 62 ถึง 7,370 ล้านบาท และควบคุมการเบิกจ่ายงบประมาณในปี 64 เหลือ 28,251 ล้านบาท จากในปี 63 ที่ 29,990 ล้านบาท และในปี 62 ที่ 31,855 ล้านบาท”

นายวิทัย ระบุ

สำหรับในปี 64 ที่ผ่านมา ธนาคารสามารถนำส่งรายได้เข้ารัฐ เป็นจำนวนเงิน 15,978 ล้านบาท สูงสุดเป็นอันดับ 4 จากรัฐวิสาหกิจ 58 แห่ง พร้อมกับความสามารถรักษาระดับ NPLs ได้ 2.67% ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage Ratio) 160% และมีเงินสำรองรวม (Total Provision) และเงินสำรองทั่วไป (General Provision) สูงสุดเป็นประวัติการณ์

ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวถึงสถานการณ์ดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มขาขึ้นว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยคงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่ธนาคารฯ จะพยายามตรึงอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำให้ เพื่อให้ผู้กู้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด ตามนโยบายของนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ที่ได้มอบหมายไว้

“ธนาคารฯ ขอให้คำมั่นในเรื่องดอกเบี้ยว่าจะพยายามตรึงดอกเบี้ยสินเชื่อให้นานที่สุด เพื่อให้ผู้กู้ได้รับผลกระทบน้อยสุดตามนโยบายของ รมว.คลัง”

นายวิทัย ระบุ

ทั้งนี้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยย่อมส่งผลกระทบต่อลูกค้าใหม่ที่จะทำให้มีภาระดอกเบี้ยมากขึ้น ในขณะที่ลูกค้าเดิมที่กู้เงินอยู่ในปัจจุบัน เช่น สินเชื่อบ้าน ที่แม้จะไม่ได้รับผลกระทบทางตรงจากดอกเบี้ย แต่ก็จะได้รับผลกระทบในทางอ้อมที่ทำให้การหักเงินต้นลดลง และใช้เวลาผ่อนชำระนานขึ้น ในขณะที่ผู้ฝากเงิน จะได้รับประโยชน์จากการที่ดอกเบี้ยเงินฝากเพิ่มขึ้น

นายวิทัย ได้กล่าวถึงผลการดำเนินงานของธนาคารออมสิน ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาว่า ธนาคารออมสินได้ดำเนินการตามนโยบายที่รัฐบาลมอบหมายให้เป็นหน่วยงานหลักในการส่งต่อความช่วยเหลือให้ประชาชนและภาคธุรกิจ ผ่านมาตรการและโครงการต่าง ๆ กว่า 45 โครงการ มีประชาชนได้รับประโยชน์และความช่วยเหลือแล้วจำนวนกว่า 13 ล้านราย โดยเป็นผู้ที่ได้รับสินเชื่อ 5.7 ล้านราย ในจำนวนนี้เป็นผู้ที่ไม่เคยมีประวัติเครดิตและเป็นการเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้เป็นครั้งแรกมากถึง 2.76 ล้านราย สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ได้รับสินเชื่อเสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจแล้วเป็นเม็ดเงินกว่า 195,000 ล้านบาท รวมถึงการช่วยเหลือประชาชนที่ตกงานหรือขาดรายได้ให้สามารถกลับมามีอาชีพ และสร้างรายได้ กว่า 100,000 ราย

นอกจากนี้ ได้ช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย โดยการปรับโครงสร้างหนี้สำหรับลูกหนี้ NPLs อีกร่วม 4 ล้านราย โดยส่วนหนึ่งของโครงการต่าง ๆ ได้แก่ โครงการสินเชื่อสู้ภัย COVID-19, สินเชื่อเสริมพลังฐานราก, สินเชื่อช่วยเหลือภาคการท่องเที่ยว, สินเชื่อฉุกเฉินสำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระและผู้มีรายได้ประจำ, สินเชื่อสร้างงานสร้างอาชีพ รวมถึงมาตรการพักชำระหนี้ โครงการผ่อนปรนภาระหนี้ไม่ให้เสียประวัติการเงิน ตลอดจนการฟื้นฟูและฝึกทักษะอาชีพเพื่อช่วยสร้างรายได้ เป็นต้น

นายวิทัย กล่าวว่า ธนาคารยังประสบความสำเร็จในการริเริ่มโครงการใหม่ ที่ช่วยให้คนฐานรากและ SMEs ได้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินในระบบ ด้วยต้นทุนที่ถูกลงและเป็นธรรม ได้แก่

1. การเข้าทำธุรกิจจำนำทะเบียนมอเตอร์ไซค์ ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงช่วยกดโครงสร้างอัตราดอกเบี้ยของธุรกิจนี้ให้ลดต่ำลง จาก 28% ลงเหลือ 16 – 18% โดยอนุมัติสินเชื่อให้คนฐานรากแล้วกว่า 1 ล้านราย

2. การปล่อยสินเชื่อโดยพิจารณาจากที่ดินซึ่งเป็นหลักประกัน ในโครงการ “สินเชื่อ SMEs มีที่ มีเงิน” ทำให้สามารถอนุมัติสินเชื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการในช่วงเวลายากลำบาก เป็นวงเงินกว่า 21,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ มาตรการช่วยเหลือและโครงการเพื่อสังคมต่าง ๆ สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นผลมาจากการพัฒนายกระดับบริการ Mobile Banking ที่ทำให้สามารถปล่อยสินเชื่อผ่านแอป MyMo ได้มากถึง 1.6 ล้านราย และปรับปรุงโครงสร้างหนี้ จำนวน 5.4 แสนราย ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 โดยที่ลูกค้าประชาชนไม่ต้องไปติดต่อที่สาขา

ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า หลังจากนี้ ธนาคารฯ จะยกระดับขยายผลให้ทุกมิติที่สำคัญของการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการดำเนินงานหลัก หรือด้านผลิตภัณฑ์และบริการ จะต้องมีการนำปัจจัยด้านสังคมเข้ามาบูรณาการทุกด้าน ซึ่งจะทำให้เกิด 1.ความลึกลงในการปฏิบัติงาน 2.ความยั่งยืนทางธุรกิจและสังคม และ 3.ผลกระทบเชิงบวกในวงกว้าง เช่น การบูรณาการปัจจัยด้านสังคมลงในกระบวนการออกแบบผลิตภัณฑ์ทางการเงิน การบริหารจัดการทรัพยากร การปรับวิธีการประเมินผลสำเร็จของงาน หรือในการจัดทำโครงการต่าง ๆ เป็นต้น

รวมถึงเน้นการบริหารจัดการเสริมความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง การลดต้นทุนบริหารจัดการ และการควบคุมค่าใช้จ่ายยังเป็นแนวทางหลักในการดำเนินธุรกิจ เพื่อให้สามารถทำกำไร และนำกำไรบางส่วนไปสนับสนุนภารกิจเพื่อสังคม

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 ก.ค. 65)

Tags: , ,
Back to Top