จิตตะเวลธ์มอง H2/65 ตลาดโลกยังผันผวน ชูหุ้นจีน-เวียดนาม-ญี่ปุ่นเด่นหลังลงลึก

นายตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. จิตตะ เวลธ์ เปิดเผยถึง ทิศทางการลงทุนครึ่งปีหลัง 65 ว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกยังถูกกดดันให้อยู่ในช่วงขาลง จากภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่ยังชะลอตัว และนักลงทุนยังต้องเผชิญกับความผันผวน ต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ได้เข้าสู่ภาวะตลาดหมี (Bear Market) ไปแล้วหลังจากดัชนีติดลบไปกว่า 20% ทั้ง NASDAQ ตามมาด้วย S&P500 และคาดว่าภาวะตลาดหมีอาจจะลากยาวไปจนถึงปี 66 เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยตลอดทั้งปี 65 เพื่อดึงอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับเป้าหมายในปลายปีนี้ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าภาวะตลาดหมีและเศรษฐกิจถดถอยจะไม่ยืดเยื้อนานเกิน 24 เดือน

ทั้งนี้แม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มชะลอตัวและอาจเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) และนโยบายการเงินของเฟดได้ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นอื่นๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ตลาดหุ้นเอเชียมีความผันผวนน้อยกว่าและยังโดดเด่นในสายตานักลงทุน เริ่มเห็นสัญญาณที่เม็ดเงินลงทุนได้ไหลเข้ามาลงทุนอย่างคึกคักมากขึ้น นำโดยจีน เวียดนาม และญี่ปุ่น เพื่อหลีกเลี่ยงความไม่แน่นอนของตลาดหุ้นฝั่งตะวันตกที่กำลังเผชิญความไม่แน่นอนเศรษฐกิจผันผวนและแนวโน้มการเกิด Recession

“ตลาดหุ้นจีนเผชิญแรงกดดันต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 64 ราคาหุ้นปรับลดลงมาจนค่อนข้างถูกมากในปี 65 เพราะหุ้นจีนรับรู้ข่าวเชิงลบมานานกว่า 1 ปีจึงมองว่าราคาหุ้นและ ETF ที่เกี่ยวข้องกับหุ้นจีนในปีนี้มีแนวโน้มเป็นขาขึ้นได้ ขณะที่ตลาดหุ้นเวียดนามทำผลงานโดดเด่นอย่างมากในช่วงปี 63-64 ดัชนี VNI ทำนิวไฮติดต่อกัน 4 ครั้ง จึงมีโอกาสที่ตลาดหุ้นเวียดนามปรับฐานได้ในปี 65 โดยเฉพาะราคาหุ้นที่ค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับในอดีตจึงยังเป็นโอกาสที่ดีลงทุนในสินทรัพย์อย่างหุ้นเวียดนามได้”

นายตราวุทธิ์ กล่าวอีกว่า อีกตลาดหุ้นที่มีโอกาสในสร้างกำไร คือตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่มีโอกาสเติบโต โดดเด่นจากคุณภาพของกิจการ และนักลงทุนไม่ควรพลาด ด้วยนโยบาย Abenomics ของอดีตนายกรัฐมนตรี Shinzo Abe ผู้ล่วงลับ ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งการบริโภคในประเทศและการท่องเที่ยว

นอกจากนี้ญี่ปุ่นยังมีขุมทรัพย์ที่รอวันปะทุอย่างเงินออมของภาคครัวเรือนที่มีสัดส่วนการถือเงินสดและฝากเงินในธนาคารมากถึง 55% เมื่อเทียบกับสหรัฐฯ ที่มีเพียง 16% สะท้อนถึงสภาพคล่องในระบบการเงินที่อยู่ในระดับสูง ส่วนการบริโภคในประเทศของญี่ปุ่นคิดเป็น 74.5% ของ GDP เมื่อเทียบกับสหรัฐฯ ที่ 82% ดังนั้นสัดส่วนเงินออมของครัวเรือนญี่ปุ่นที่สูงถึง 55% หากแบ่งไปที่การบริโภคและการลงทุนมากขึ้น ตลาดหุ้นญี่ปุ่นจะทะยานไปได้อีกไกลมาก

“นโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจกำลังเห็นผล ญี่ปุ่นมีโอกาสหลุดจาก The Lost Decade กลับไปท็อปฟอร์ม และอย่างที่ทุกคนทราบ ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีเสถียรภาพสูง ธุรกิจค่อนข้างมั่นคง มีการพัฒนาด้านธรรมภิบาลต่อเนื่อง เราเห็นโอกาสการลงทุนที่ยิ่งใหญ่มากในญี่ปุ่น และเป็นจังหวะที่ดี เพราะญี่ปุ่นมีหุ้นดีราคาถูก เป็นของหายากหรือ Rare Item หนึ่งในตลาดหุ้นไม่กี่แห่งในโลกที่มีหุ้นคุณค่าเยอะมาก รายได้โตสูงและมีกำไรแข็งแกร่งมากในตลาดหุ้นเอเชีย”

ล่าสุดบริษัทฯ ได้เปิดตัวกองทุนส่วนบุคคล Jitta Ranking ญี่ปุ่น แผนลงทุนใหม่ที่ใช้ AI มาวิเคราะห์หุ้นมากกว่า 3,400 บริษัทเพื่อเลือกหุ้นดีราคาถูกจากตลาดหุ้นญี่ปุ่น (Tokyo Stock Exchange – TSE) มาจัดพอร์ตลงทุน 5-30 บริษัท ด้วยอัลกอริทึมของแพลตฟอร์มวิเคราะห์หุ้น Jitta ที่อยู่บนพื้นฐานแนวคิด ‘ลงทุนในกิจการที่ดี ในราคาที่เหมาะสม’ ของ Warren Buffett ช่วยให้นักลงทุนมีโอกาสลงทุนในหุ้นบริษัทญี่ปุ่นคุณภาพดีโดยตรง ผ่านการบริหาร กองทุนส่วนบุคคลของจิตตะ เวลธ์ โดย Jitta Ranking ญี่ปุ่น จะมีการปรับพอร์ตทุก 3 เดือน เงินลงทุนเริ่มต้น 1 ล้านบาท เพิ่มทุนครั้งละ 100,000 บาท

นายตราวุทธิ์ ยังได้ยกตัวอย่างหุ้น 5 บริษัทที่มีผลประกอบการ ที่โดดเด่นเข้าเกณฑ์หุ้นดีราคาถูกของ Jitta Ranking ญี่ปุ่น อุตสาหกรรมแรกอยู่ในกลุ่มเฮลท์แคร์ เช่น บริษัท Chugai Pharmaceutical บริษัท BML และบริษัท Takara Bio ถัดมาเป็นอุตสาหกรรมก่อสร้าง เช่น CTI Engineering และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอย่าง System D โดยผลตอบแทนย้อนหลัง จากการจำลอง Back Test จัดพอร์ตลงทุนด้วยหุ้นญี่ปุ่น ใช้ AI วิเคราะห์และคัดสรรหุ้นเด่น พร้อมปรับพอร์ตทุก 3 เดือน ตลอดระยะเวลา 10 ปี (2555-2564) พบว่ามีผลตอบแทนเฉลี่ย 26.12% ต่อปี และคิดเป็นผลตอบแทนรวมสูงถึง 918.02%

“หลายคนอาจมองว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นขยายตัวไม่สูง แต่รู้หรือไม่ว่าหลายๆบริษัทในญี่ปุ่นมีรายได้มาจากทั่วโลก เนื่องจากมีการลงทุนสร้างฐานการผลิตในต่างประเทศ ทำให้บริษัทญี่ปุ่นไม่ได้พึ่งพารายได้จากในประเทศเพียงอย่างเดียวและญี่ปุ่นมีบริษัทน้อยใหญ่ที่อาจจะมีชื่อเสียงไม่เทียบเท่ากับ Toyota Panasonic หรือ Sony แต่กลับมีผลประกอบการที่น่าทึ่ง ดังนั้นจึงเป็นข้อได้เปรียบของระบบ AI ภายใต้การพัฒนาอัลกอริทึมที่จิตตะ เวลธ์ต่อยอดมาจากแพลตฟอร์มวิเคราะห์หุ้น Jitta ที่จะค้นหาหุ้นดีราคาถูกมาจัดพอร์ตให้กับนักลงทุน”

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (26 ก.ค. 65)

Tags: , , ,
Back to Top