MINT คาด H2/65 โตกว่า H1/65 อัตราเข้าพักกลับมาใกล้ก่อนโควิด, ปี 66 วางงบ 1 หมื่นลบ.

นายชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) เปิดเผยว่า บริษัทมองว่าแนวโน้มผลงานในครึ่งปีหลังคาดว่าจะเห็นการเติบโตสูงกว่าครึ่งปีแรก โดยมีปัจจัยหนุนมาจากภาคการท่องเที่ยวในภูมิภาคต่างๆที่กลับมาฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่อง หลังจากโควิด-19 คลี่คลาย โดยเฉพาะโรงแรมในเครือของบริษัทในต่างประเทศที่ยังมีแนวโน้มอัตราการเข้าพักและราคาห้องพักที่อยู่ไนระดับที่ดีต่อเนื่อง

โดยเฉพาะโรงแรมในยุโรปบางแห่งที่อัตราการเข้าพักกลับมาอยู่ในระดับสูงใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 และราคาห้องพักโรงแรมในยุโรปบางแห่งได้ปรับขึ้นมากกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด-19 แล้ว ช่วยหนุนรายได้ต่อห้องพักเฉลี่ย (Revpar) ของโรงแรมในยุโรป รวมถึงโรงแรมในมัลดีฟส์ ที่อัตราการเข้าพักและค่าห้องพักปรับสูงขึ้นไปแล้วเท่ากับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ส่วนโรงแรมในออสเตรเลียได้เริ่มเห็นอัตราการเข้าพักปรับสูงขึ้นมาแตะระดับ 80% ซึ่งเริ่มเห็นสัญญาณที่ดีในการฟื้นตัวกลับมาของโรงแรมในต่างประเทศ

ด้านโรงแรมในประเทศไทยเริ่มเห็นการทยอยฟื้นตัวขึ้นหลังจากมีการยกเลิกการใช้ Thailand Pass ไปในช่วงเดือนก.ค.ที่ผ่านมา ทำให้เริ่มเห็นนักท่องเที่นวชาวต่างชาติเริ่มเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งมองว่าจะเริ่มเห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามามากขึ้นในช่วงไตรมาส 3/65 และไตรมาส 4/65 ซึ่งจะช่วยหนุนเครือโรงแรมของบริษัทไนประเทศไทยให้ฟื้นตัวกลับมาดีในช่วงครึ่งปีหลัง และในปัจจุบันโครงการเราเที่ยวด้วยกันยังสามารถช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวในประเทศได้

สำหรับธุรกิจร้านอาหารของบริษัทเริ่มเห็นการทยอยฟี้นตัวขึ้นตามลำดับ หลังจากการเปิดเมืองและเปิดประเทศ ทำให้ลูกค้ากลับมาทานอาหารในร้านมากขึ้น ผนวกกับการให้บริการเดลิเวอลี่ที่คนยังมีความนิยมสั่งมาทานที่บ้านในปัจจุบัน ทำให้บริการเดลิเวอลี่เข้ามาช่วยหนุนการฟื้นตัวของธุรกิจร้านอาหาร ซึ่งปัจจุบันยอดออเดอร์จากเดลิเวอลี่เพิ่มมาเป็น 40% ของยอดออเดอร์รวม อีกทั้งยังคงมีแคมเปญการตลาดของแบรนด์ร้านอาหารในครือเพี่อกระตุ้นความต้องการของผู้บริโภคในกลุ่มต่างๆ

อย่างไรก็ตามในปีนี้บริษัทยังให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการด้านการเงิน การบริหารจัดการต้นทุน และการรักษาสภาพคล่อง โดยงบลงทุนในปี 65 ที่วางไว้ 6.4 พันล้านบาท ยังคงใช้ในการปรับปรุงโรงแรม และร้านอาหารในเครือที่มีอยู่เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งยังคงดำเนินการบริหารแบบ Asset Light ในช่วงที่เพิ่งฟื้นตัวหลังการแพร่ระบาดโควิด-19 เพื่อรอจังหวะในการลงทุนขนาดใหญ่ใน Hard Asset อีกครั้งในช่วงที่ตลาดมีการฟื้นตัวชัดเจน ส่วนในปี 66 บริษัทวางงบลงทุนไว้รองรับราว 1 หมื่นล้านบาท

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 ส.ค. 65)

Tags: , , ,
Back to Top