หุ้นไทยแนวโน้มดัชนีเช้าแกว่งไซด์เวย์ ไร้ปัจจัยบวกหนุน จับตาประชุมโอเปกพลัส

นักวิเคราะห์คาดตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งไซด์เวย์ ติดตามผลประชุมโอเปกพลัสหากมีการลดกำลังการผลิตลงอีกช่วยหนุนหุ้นกลุ่มพลังงานดันดัชนี ส่วนปัจจัยอื่นๆยังไม่มีเรื่องใหม่เข้ามาหนุน และอาจมีแรงกดดันโอกาสเกิดเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯ ส่วนตลาดเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่เคลื่อนไหวบวกและลบสลับกัน โดยให้แนวต้านที่ 1,600-1,605 จุด แนวรับ 1,575-1,580 จุด

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้คาดว่าแกว่งไซด์เวย์ โดยตลาดยังรอติดตามการประชุมโอเปกพลัสว่าจะมีการพิจารณาเพิ่มหรือลดกำลังการผลิตน้ำมันออกมาเป็นอย่างไร จากคราวก่อนปรับลดกำลังการผลิตลงไปแล้ว แต่มีโอกาสจะปรับลดลงอีก ซึ่งจะช่วยหนุนต่อกลุ่มหุ้นพลังงานดันดัชนีแกว่งไซด์เวย์อัพได้

ขณะเดียวกันยังไม่มีปัจจัยใหม่ที่เข้ามาหนุนตลาดอย่างมีนัยสำคัญ แต่ยังมีความกังวลการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯอยู่บ้าง ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวลงไปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ส่วนตลาดหุ้นเอเชียวันนี้ที่เปิดทำการเคลื่อนไหวบวกและลบสลับกัน โดยตลาดหุ้นจีนสัปดาห์นี้ปิดทำการในวันชาติ

ให้แนวต้านที่ 1,600-1,605 จุด แนวรับ 1,575-1,580 จุด

*ประเด็นพิจารณาการลงทุน

  • ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (30 ก.ย.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 28,725.51 จุด ลดลง 500.10 จุด หรือ -1.71%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,585.62 จุด ลดลง 54.85 จุด หรือ -1.51% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 10,575.62 จุด ลดลง 161.89 จุด หรือ -1.51%
  • ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 25,778.95 จุด ลดลง 158.26 จุด หรือ -1.61% ขณะที่ ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 17,050.25 จุด ลดลง 172.58 จุด หรือ -1% ส่วนตลาดหุ้นจีนปิดทำการวันที่ 3 – 7 ต.ค. เนื่องในวันชาติ
  • ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (30 ก.ย.65.) ที่ระดับ 1,589.51 จุด ลดลง 2.86 จุด, -0.18%
  • นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,198.37ล้านบาท เมื่อวันที่ 30 ก.ย.65
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน พ.ย.(30 ก.ย.)ร่วงลง 1.74 ดอลลาร์ หรือ 2.1% ปิดที่ 79.49 ดอลลาร์/บาร์เรล
  • ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (30 ก.ย.) อยู่ที่ -0.45 ดอลลาร์/บาร์เรล
  • เงินบาทเปิด 37.85 ให้กรอบวันนี้ 37.75-38.05 ตลาดรอตัวเลขศก.สหรัฐ
  • ปิดฉากโรคระบาดโควิด-19 ปรับโหมดเข้าสู่ภาวะโรคเฝ้าระวัง หลังคนไทยติดเชื้อไป 4.6 ล้านคน รัฐบาลอัดวงเงิน สู้เกือบ 2.5 ล้านล้านบาท “เอกชน” ขานรับสัญญาณบวกปลดล็อกโควิด ภาคธุรกิจผู้บริโภค เปลี่ยนโหมดสู่ภาวะปกติ กล้าเดินทางใช้ชีวิต ปลุกบรรยากาศไฮซีซันคึกคัก เดินหน้าขยายการลงทุน ขยายกำลังการผลิตจี้รัฐโหมกระตุ้นท่องเที่ยวไทยต่อเนื่องสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง
  • นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ขณะนี้บรรดานักท่องเที่ยวจากเอเชียกลาง ทั้งคาซัคสถาน อุซเบกิสถาน นิยมเดินทางมาไทยเพิ่มมากขึ้นหลังจากเปิดประเทศ รวมทั้ง ครม.ยังเห็นชอบให้ขยายเวลาพำนักของนักท่องเที่ยวที่มีวีซ่าหน้าด่านหรือวีโอเอ เพิ่มขึ้นจาก 15 วัน เป็นไม่เกิน 30 วัน ตั้งแต่ 1 ต.ค.65-31 มี.ค.66 ล่าสุดพบสายการบินแอร์อัสตานาจากคาซัคสถานเปิดบินตรงอัลมาตี้-กรุงเทพฯวันละ 1 เที่ยวบิน และยังปรับเพิ่มเที่ยวบินอัลมาตี้-ภูเก็ต จากเดิม 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์เป็นวันละ 1 เที่ยวบินเริ่มวันที่ 30 ต.ค.
  • สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) อยู่ระหว่างศึกษาทบทวนมาตรการยกเว้นภาษีและมาตรการลดหย่อนต่างๆ เพื่อให้ภาครัฐมีรายได้เพิ่มขึ้น เนื่องจากผลการวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจเมื่อเดือน ส.ค.65 พบว่า ภาครัฐมีความเสี่ยงทางการคลังเป็นผลจากสัดส่วนรายได้สุทธิต่อจีดีพีลดลงต่อเนื่องจาก 14.64% ในปีงบประมาณปี 64 ลดลงเหลือ 13.31% ในปีงบประมาณปี 69 ดังนั้น รัฐบาลควรทบทวนมาตรการยกเว้นภาษีและมาตรการลดหย่อนต่างๆ ควบคู่ไปกับการผลักดันการเพิ่มความสามารถในการจัดเก็บรายได้ ให้มีผลทางปฏิบัติอย่างจริงจัง ทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บ การขยายฐานภาษีให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงขยายการจัดเก็บให้ครอบคลุมฐานภาษีใหม่ๆ ด้วย เพื่อรักษาวินัยและเสริมสร้างความยั่งยืนทางการคลังในระยะยาว และรัฐบาลต้องให้ความสำคัญในการปรับลดสัดส่วนการขาดดุลงบประมาณต่อจีดีพีให้อยู่ระดับที่ไม่เกิน 3% ซึ่งเป็นระดับที่เอื้อต่อการควบคุมสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีให้ลดลงได้

*หุ้นเด่นวันนี้

  • บมจ. ทเวนตี้ โฟร์ คอน แอนด์ ซัพพลาย เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายใน mai ภายใต้กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “24CS” ในวันที่ 3 ตุลาคม 2565 ราคา IPO 3.40 บาท ประกอบธุรกิจเป็นผู้นำเข้าและตัวแทนจัดจำหน่ายอุปกรณ์ประเภทปรับอากาศและระบายอากาศ แบรนด์ชั้นนำมาตรฐานสากลได้แก่ TROX และเป็นผู้จัดจำหน่ายอีกหลายแบรนด์ อาทิ TRANE AAF KRUGER HONEYWELL เป็นต้น นอกจากนี้ บริษัทยังเป็นผู้ให้บริการรับเหมาติดตั้งระบบวิศวกรรมประกอบอาคาร และงานรับเหมาก่อสร้างอื่นๆ เช่น งานโยธา งานสถาปัตย์ เพื่อสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างครบวงจร
  • CK (ฟินันเซีย ไซรัส) “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 25 บาท คาดกำไรไตรมาส 3/65 เร่งตัวทั้ง Q-Q และ Y-Y ตามการฟื้นตัวของธุรกิจรับเหมาฯ ล่าสุดรับงานคลองระบายน้ำและมีประเด็นบวกจาก BEM เป็นผู้ชนะรถไฟฟ้าสายสีส้ม ซึ่งมีงานโยธาและงานระบบรวมกว่า 1.27 แสนลบ.และงานโรงไฟฟ้าหลวงพระบางอีก 8 หมื่นลบ. คาดเซ็นปลายปีนี้ ทำให้ Backlog จะทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 2.6 แสนลบ. ทยอยรับรู้รายได้เป็น S-Curve ตั้งแต่ปีหน้า ส่วนธุรกิจลูกอย่าง BEM ฟื้นตัวตามการ Reopening CKP อยู่ในช่วง High Season และมีปันผลรับจาก TTW เราคาดกำไรปกติปี 2565 +8x Y-Y และเร่งตัว +64% Y-Y ในปี 2566¶
  • AOT (เมย์แบงก์) เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 80 บาท นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องยังเป็นปัจจัยเด่นที่หนุนภาคการท่องเที่ยวไทยฟื้นตัว ผสานกับการฟรี VISA ในหลายประเทศกระตุ้นยอดคนไทยออกไปเที่ยวมากขึ้น เพิ่มรายได้ AOT มากยิ่งขึ้น หนุนผลการดำเนินงานพลิกกลับมา Turnaround ได้
  • LH (ดาโอ) เป้าเชิงกลยุทธ์ 9.50 บาท แนวโน้มรายได้ปี 65 เติบโตโดดเด่น BB Consensus คาดการณ์รายได้โตเฉลี่ย +11%YoY หนุนด้วยยอดขายอสังหาแนวราบ Mid-High End โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวที่ขายดีและเป็นสัดส่วนมากกว่า 70% ของรายได้การขายอสังหา8 โครงการ ที่เปิดตัวใหม่ในปีนี้ (มูลค่ารวม 1.1 หมื่น ลบ.) ได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาด Presale ลุ้นทำ New High ใน 2H22 ส่วนธุรกิจโรงแรมมี Occ Rate ดีขึ้นต่อเนื่องเช่นเดียวกับธุรกิจ รร. อื่นในตลาด Bloomberg Consensus ประเมินกำไรสุทธิปี 2565-2566 ที่ 8.12 พัน ลบ. และ 8.87 พัน ลบ. +17%YoY , +9.2%YoY ตามลำดับ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (03 ต.ค. 65)

Tags: , , ,
Back to Top