หุ้นไทยแนวโน้มดัชนีเช้ารีบาวด์ต่อตามตปท. หลังคลายกังวลเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ย-น้ำมันขึ้นหนุน

นักวิเคราะห์ฯ คาดตลาดหุ้นไทยเช้านี้รีบาวด์ขึ้นต่อเนื่องตามทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลก เนื่องจากนักลงทุนคลายกังวลการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด และ Bond Yield ปรับฐานลง รวมถึงค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐอ่อนแอ ขณะที่ราคาน้ำมันยังปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง พร้อมให้แนวรับที่ 1,575 จุด และ 1,567 จุด แนวต้าน 1,585-1,590 จุด

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะรีบาวด์ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ตามทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลก เนื่องจากนักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) ที่ปรับฐานลดลงอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลดลงหลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ

โดยสำนักงานสถิติของกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยผลสำรวจการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) ซึ่งตัวเลขการเปิดรับสมัครงานลดลง 1.1 ล้านตำแหน่งสู่ระดับ 10.1 ล้านตำแหน่งในเดือน ส.ค. เป็นระดับต่ำสุดรอบ 14 เดือน

ขณะที่ราคาน้ำมันยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและพันธมิตร หรือโอเปกพลัส จะปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันครั้งใหญ่หรือมากกว่า 1 ล้านบาร์เรล/วัน ในการประชุมวันนี้

พร้อมให้แนวรับที่ 1,575 จุด และ 1,567 จุด แนวต้าน 1,585-1,590 จุด

*ประเด็นพิจารณาการลงทุน

– ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (4 ต.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 30,316.32 จุด พุ่งขึ้น 825.43 จุด หรือ +2.80%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,790.93 จุด เพิ่มขึ้น 112.50 จุด หรือ +3.06% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,176.41 จุด เพิ่มขึ้น 360.97 จุด หรือ +3.34%

– ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 27,211.32 จุด เพิ่มขึ้น 219.11 จุด หรือ +0.81%, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 17,811.97 จุด เพิ่มขึ้น 732.46 จุด หรือ 4.29% ส่วนตลาดหุ้นจีนปิดทำการวันที่ 3 – 7 ต.ค. เนื่องในวันชาติ

– ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (4 ต.ค.65.) ที่ระดับ 1,578.00 จุด เพิ่มขึ้น 19.95 จุด, +1.28%

– นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,166.04 ล้านบาท เมื่อวันที่ 4 ต.ค.65

– ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน พ.ย.(4 ต.ค.) เพิ่มขึ้น 2.89 ดอลลาร์ หรือ 3.5% ปิดที่ 86.52 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 14 ก.ย. 2565

– ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (4 ต.ค.) อยู่ที่ 1.97 ดอลลาร์/บาร์เรล

– เงินบาทเปิด 37.45 แข็งค่าจากวานนี้ คาดกรอบ 37.35-37.55 จับตาตัวเลขเงินเฟ้อไทย

– นักเศรษฐศาสตร์มองความท้าทายเศรษฐกิจโลกและไทยมีสูงขึ้น “กอบศักดิ์” ห่วงเริ่มลามเข้าสู่ภาคเศรษฐกิจจริง หลังเริ่มเห็นสัญญาณผ่านตัวเลขการส่งออกที่เริ่มชะลอตัว หวังการท่องเที่ยวช่วยพยุง “ศุภวุฒิ” แนะจับตาไตรมาส 2 ปีหน้าเศรษฐกิจสหรัฐเสี่ยง ถดถอยกระทบทั่วโลก ด้าน “เกียรติพงศ์” เชื่อประเทศไทยรับมือเงินเฟ้อได้ กลับสู่กรอบเป้าหมายปี 2566

– ส.อ.ท.ชี้ไทยต้อง พลิกเกม ปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม รับมือวิกฤติเศรษฐกิจ ชู 3 แนวทาง พลิกเกม สร้างอุตสาหกรรมใหม่ หนุน ผู้นำ “กรีน อีโคโนมี” หอการค้าชี้ปัจจัยท้าทายปี 66 “พลังงานงาน-กำลังซื้อหด” ขอรัฐบาลชุดใหม่มีเสถียรภาพ หนุนเอกชนเดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจ “ดาว เคมิคอล” ชูธุรกิจปรับตัวสู่โลกใหม่ แนะธุรกิจวางแผนระยะยาวแบบยืดหยุ่น รับเปลี่ยนแปลง ทุกสถานการณ์

– ธปท.ย้ำเสถียรภาพระบบการเงินไทย แข็งแกร่ง ระบบสถาบันการเงินเข้มแข็ง แจงเงินสำรองวูบ เงินบาทอ่อนค่าที่ระดับ 38 บาทไม่ทำให้ประเทศขาดเสถียรภาพ เหตุอ่อนค่า มาจากดอลลาร์แข็งค่าเป็นหลัก ชี้หากฝืนตลาดนำไปสู่ความเสี่ยง ย้ำภารกิจกดหนี้ครัวเรือนให้ลงสู่ระดับยั่งยืนที่ 80%

– ททท.โหมปลุกท่องเที่ยวรับไฮซีซั่น เตรียมเปิดตัวแคมเปญใหญ่ “Always Warm” ในงาน ITB Asia 2022 ที่สิงคโปร์ ประกาศความพร้อมของประเทศ-สร้างความมั่นใจนักท่องเที่ยวทั่วโลก เผยท่องเที่ยวไทยฟื้นตัวเร็วที่สุดในโลก ชี้ปีหน้าตลาดระยะใกล้ “มาเลย์-อินเดีย-เวียดนาม-เกาหลี-ญี่ปุ่น” คือความหวัง หนุนนักท่องเที่ยวต่างชาติแตะ 20 ล้านคน

– สรท.แถลงภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนสิงหาคม 2565 กับเดือนเดียวกันของปีก่อน ว่า การส่งออกมีมูลค่า 23,632.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 7.5% และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 861,169 ล้านบาท ขยายตัว 20.4% (เมื่อหักทองคำ น้ำมัน และอาวุธยุทธปัจจัย พบว่าการส่งออกในเดือนสิงหาคมขยายตัว 10.1%) ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 27,848.1 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 21.3% และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 1,026,654 ล้านบาท ขยายตัว 35.5% ส่งผลให้ดุลการค้าของประเทศไทยในเดือนสิงหาคม 2565 ขาดดุล 4,215.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเท่ากับ 165,485 ล้านบาท

 

*หุ้นเด่นวันนี้

– JMART (ดาโอ) เป้าเชิงกลยุทธ์ 50.00 บาท เดินหน้า M&A-JV เสริมแกร่ง J Group สู่เป้า M. Cap. 5 แสน ลบ. พร้อมลงทุนในรูปแบบ M&A และ JV เป้าหมายใหญ่อยู่ที่ 5 แสน ลบ. ใน 3 ปี (ปัจจุบันประมาณ 2 แสน ลบ.) ล่าสุดเตรียมปิดดีลตี๋น้อย พ.ย. นี้ ประเมิน Digital Platform หรือ Blockchain Infrastructure ที่ลงทุนไว้กับ J-Venture จะเติบโตขึ้นพร้อมกับ J Group และจะช่วยให้ยอดขายและประสิทธิภาพของระบบหลังบ้านของลูกในกลุ่มดีขึ้น Bloomberg Consensus ประเมินกำไรสุทธิปี 2565-2566 เฉลี่ยที่ 1.78 พัน ลบ. และ 2.23 พัน ลบ. -28%YoY, +25%YoY ตามลำดับ

– KCE (กสิกรไทย) ราคาทางพื้นฐาน 57.0 บาท 1.) คาดจะได้ Sentiment บวกตามหุ้นกลุ่มหุ้น Tech สหรัฐ 2.) ราคาหุ้นปรับฐานลงมาตั้งแต่ต้นปี (ytd) ราว 51% ตอบรับข่าวร้ายไปมากแล้ว

– AH (เมย์แบงก์) เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 35 บาท คาดกำไรสุทธิไตรมาส 3/65 จะเติบโตสู่ระดับ 445 ล้านบาท (+9%QoQ, +90%YoY) ทำจุดสูงสุดใหม่ แรงหนุนจากยอดขายที่เติบโตสูง และมีกำไร FX ผสานมาร์จิ้นมีแนวโน้มดีขึ้น ในขณะที่ ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายเพียง P/E 7.5 เท่า P/BV 1.0 เท่า และ อัตราเงินปันผลตอบแทน 4.8% ปรับเป้าหมายใหม่เป็น 35 บาท

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (05 ต.ค. 65)

Tags: , , , ,
Back to Top