BTG เจรจา M&A ธุรกิจเกี่ยวเนื่อง,มั่นใจ H2/65 โตต่อเนื่องหลัง H1/65 กำไรพุ่งกว่า 230%

นายวสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เบทาโกร (BTG) เปิดเผยว่า บริษัทมีความสนใจและอยู่ระหว่างการเจรจาเข้าซื้อกิจการธุรกิจที่มีความเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจปัจจุบัน คือ ธุรกิจด้านอาหารและเกษตรอุตสาหกรรม แต่เป็นการขยายไปในผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ๆ อาทิ การจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปในยังพื้นที่ห่างไกลขึ้น โดยที่ไม่จำเป็นต้องควบคุมอุณภูมิ  จากที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญในกลุ่มการแปรรูปอาหารที่ควบคุมอุณภูมิอยู่แล้วในปัจจุบัน แต่อย่างไรก็ตามยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมได้ในขณะนี้

สำหรับทิศทางผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังจะเติบโตขึ้นจากช่วง 6 เดือนแรกของปี 65 ที่มีรายได้รวม 54,193.2 ล้านบาท เติบโต 26.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และกำไรสุทธิ 3,892.5 ล้านบาท เติบโตสูงถึง 233.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 7.2%

อนึ่ง ในปี 64 บริษัทมีรายได้รวม 8.63 หมื่นล้านบาท กำไรสุทธิ 839 ล้านบาท

ปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนผลการดำเนินงานในปีนี้มาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น และ ประเทศไทยเปิดรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ส่งผลให้ความต้องการบริโภคอาหารในประเทศเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง

และแม้ว่าประเทศต่างๆ ทั่วโลกยังมีความผันผวนมากจากหลากหลายปัจจัยที่เข้ามากระทบ แต่ความต้องการอาหารทั่วโลกยังเติบโตขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง และ ทั่วโลกยังต้องการสร้างความมั่นคงทางด้านอาหารท่ามกลางสถานการณ์หลายอย่างที่เป็นความเสี่ยง โดยเฉพาะสหภาพยุโรปยังนำเข้าอาหารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อลดการแบกรับภาระต้นทุนภาคการผลิตทั้งค่าแรงและพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นมาก

“ทิศทางผลประกอบการของบริษัทจะยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าภาพรวมของทั่วโลกมีความผันผวนอย่างมากทำให้เราต้องมีการติดตามอย่างใกล้ชิดจากภาวะอาหารโลกที้มีความผันผวน แต่อย่างไรก็ตามด้วยความต้องการอาหารของทั่วโลกที่ขยายตัวขึ้น โดยเฉพาะในยุโรปที่มีปัญหาเกี่ยวกับการขาดแคลนพลังงาน และ ค่าแรง ส่งผลให้มีการนำเข้ามาอาหารจำนวนมาก” นายวสิษฐ กล่าว

นายวสิษฐ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทิศทางราคาอาหาร โดยเฉพาะเนื้อไก่และเนื้อหมูยังคงจะทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อไป

สำหรับราคาหมูนั้น ช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยและทั่วโลกได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อโรคอหิวาต์แอฟริกา (ASF) ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ปริมาณผลผลิตหมูลดลงค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยที่ไม่ได้มีการบริหารจัดการฟาร์มด้านความสะอาดทำให้โรคระบาดเกิดขึ้นมาก โดยคาดว่ากว่าที่จำนวนหมูจะฟื้นกลับมาอยู่ใกล้กับช่วงระยะก่อนการแพร่ระบาดของ ASF ต้องใช้ระยะเวลาอีกไม่ต่ำกว่า 2 ปี

ด้านภาวะไก่เนื้อ ยังต้องพึ่งพาการนำเข้าพ่อ-แม่พันธุ์ไก่จากต่างประเทศ ขณะที่สถานการณ์ที่ทั่วโลกต้องการความมั่นคงทางด้านอาหารส่งผลให้ความต้องการพ่อ-แม่พันธุ์ไก่เพิ่มขึ้นมาก จะส่งผลให้ปริมาณลูกไก่ในประเทศไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และผู้ประกอบการที่มีลูกไก่อยู่ในปัจจุบันก็มีความต้องการที่จะบริหารมูลค่าให้สูงที่สุด ทำให้ราคาลูกไก่ยังคงสูง และส่งผลต่อเนื่องถึงราคาเนื้อไก่ด้วย

นายวสิษฐ์ กล่าวว่า สำหรับประเทศไทยมีความได้เปรียบทางด้านต้นทุนที่แข่งขันได้ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่ง BTG มีคู่ค้าและ ลูกค้าที่มีความเชื่อมั่นที่จะเติบโตไปพร้อมกัน ทำให้บริษัทมีความพร้อมที่จะลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อที่จะให้ BTG เป็นแกนหลักของอุตสาหกรรมอาหารของไทย

BTG ประกอบธุรกิจแบบครบวงจรครอบคลุมตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่าตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ มีจุดเริ่มต้นจากธุรกิจพื้นฐานด้านอุตสาหกรรมเกษตร ตั้งแต่การผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์ เวชภัณฑ์สำหรับสัตว์ ขยายไปสู่การทำฟาร์มเชิงพาณิชย์ การแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เนื้อหมู เนื้อไก่ ไข่ไก่ และปลา ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป ผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมปรุงและพร้อมรับประทาน รวมไปถึงอาหารสัตว์เลี้ยง เพื่อจัดจำหน่ายทั้งในประเทศไทยและส่งออกไปกว่า 20 ประเทศทั่วโลก

ปัจจุบัน BTG มีแบรนด์ที่หลากหลายและเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย อาทิ แบรนด์ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ อาหารแปรรูป และไส้กรอก เช่น แบรนด์ S Pure, แบรนด์ Betagro และ แบรนด์ ITOHAM และแบรนด์อาหารสัตว์อย่าง แบรนด์ Perfecta, แบรนด์ DOG n joy และแบรนด์ CAT n joy ที่ครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ขณะที่การบริหารช่องทางการจัดจำหน่ายที่หลากหลายและครอบคลุม ทั้งช่องทางของบริษัทเองที่ครอบคลุมกว่า 1,000 แห่งทั่วประเทศและเครือข่ายพันธมิตรอันแข็งแกร่ง

นายวิสิษฐ์ กล่าวอีกว่า BTG จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 500 ล้านหุ้น (รวมการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) หลังจากกำหนดราคาเสนอขายที่ 40 บาทต่อหุ้น ระหว่างวันที่ 10-12 และ 17 ต.ค.และคาดว่าหุ้น BTG จะสามารถเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นวันแรกในช่วงสัปดาห์แรกของเดือน พ.ย.นี้

สำหรับเงินที่ได้รับจากการระดมทุนในครั้งนี้ เบทาโกรวางแผนที่จะเงินไปลงทุนเพื่อการเข้าซื้อ และ/หรือก่อสร้างฟาร์มและโรงงานแห่งใหม่ประมาณ 8,000 ล้านบาท การปรับโครงสร้างเงินทุนผ่านการชำระหนี้สินระยะสั้นและ/หรือระยะยาวให้แก่สถาบันการเงินประมาณ 8,960-10,500 ล้านบาท และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินงานไม่เกิน 1,021 ล้านบาท

บริษัทมีกลยุทธ์การสร้างการเติบโตในอนาคตอย่างต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ ด้วยแผนการขยายกำลังการผลิตตลอดห่วงโซ่คุณค่า การสร้างความแข็งแกร่งให้กับช่องทางการจัดจำหน่ายโดยเฉพาะช่องทางการจัดจำหน่ายที่มีมูลค่าสูง การมุ่งเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เช่น ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป และผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง เป็นต้น

สำหรับศักยภาพการเติบโตในตลาดต่างประเทศ มีแผนเพิ่มกำลังการผลิตในประเทศกัมพูชาและลาว การลงทุนในฟาร์มและโรงงานในประเทศเมียนมา การเพิ่มจุดหมายการส่งออกและเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายในตลาดต่างประเทศที่สำคัญ เช่น สิงคโปร์และฮ่องกง เป็นต้น ตลอดจนมุ่งแสวงหาและต่อยอดโอกาสการเติบโตใหม่ (New S-Curve) ในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เช่น ธุรกิจโปรตีนทางเลือกจากพืชภายใต้แบรนด์ Meatly! และธุรกิจบริการขนส่งสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิ Kerry Cool ซึ่งเป็นการร่วมค้ากับ บมจ.เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) (KEX) เป็นต้น

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (05 ต.ค. 65)

Tags: , , ,
Back to Top