WP ชงบอร์ดจัดงบลงทุนพลังงานลม-EV-แบตเตอรี่ วางเป้าปี 66 ขาย LPG พุ่งทะลุ 1.7 หมื่นล้าน

นางสาวชมกมล พุ่มพันธุ์ม่วง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ (WP) เปิดเผยว่า บริษัทวางเป้ารายได้ปี 66 ไม่ต่ำกว่า 17,000 ล้านบาท โดยตั้งเป้ายอดขายก๊าซ LPG ไว้ 800,000 ตัน แบ่งเป็นยอดขายในประเทศ 775,000 ตัน และส่งออก  25,000 ตัน

 
นอกจากนี้บริษัทได้วางงบลงทุนไว้ราว 900-1,000 ล้านบาท โดยเตรียมที่จะนำเข้าที่ประชุมบอร์ดบริหารเพื่อพิจารณาในเดือน ม.ค. 66 โดยจะใช้ในการลงทุนธุรกิจก๊าซ LPG 300 ล้านบาท เพื่อใช้ขยายโรงบรรจุ และ รุกสู่กิจการค้าปลีก และจะใช้ในการลงทุนธุรกิจพลังงานทดแทนอีก 500 ล้านบาท

ขณะเดียวกันยังได้เตรียมงบลงทุน 100-200 ล้านบาทใช้ลงทุนธุรกิจใหม่ๆ ตามอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะอยู่ใน Trend การเติบโตในอนาคต อาทิ พลังงานลม, EV และ Battery Storage เป็นต้น โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณารูปแบบการลงทุนด้วยตัวเอง หรือ การร่วมกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญ

“เรามี EBITDA เข้ามา 500-600 ล้านบาทต่อปี และยังมีความสามารถกู้จากสถาบันทางการเงิน เราจึงมองหาการลงทุนใหม่ๆที่มีความเสี่ยงต่ำ เป็น Trend อนาคต และสามารถสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่า”นางสาวชมกมล กล่าว

ทั้งนี้ ก๊าซ LPG ถือว่าเป็นสินค้า commodity ซึ่ง WP มุ่งเน้นการสร้าง Brand ผ่านกิจกรรมส่งเสริมการขาย และ การลงพื้นที่ขยายฐานลูกค้า รวมถึงการสร้างการตลาดรูปแบบใหม่ๆ จากแบรนด์ “เวิลด์แก๊ส” อย่างเต็มรูปแบบ สื่อสารกับคนทุกกลุ่มอย่างทั่วถึง รวมไปถึงการต่อยอดการทำ CSR และการสร้าง Band Loyalty อย่างต่อเนื่อง โดยเชื่อมั่นเรื่องของกลไกตลาด ใครมีสินค้าหรือบริการที่ตอบโจทย์ก็จะเป็นตัวเลือกที่ผู้บริโภคให้ความสนใจ ดังนั้นจึงให้ความสำคัญกับการเดินหน้าตามแผนการดำเนินธุรกิจตามเป้าหมายอย่างดีที่สุด และไม่หยุดนิ่งที่จะพัฒนาสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคได้มากที่สุด
 
สำหรับภาพรวมปี 65 บริษัทคาดว่าจะมีรายได้สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ 12,000 ล้านบาท หลังช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้แล้ว 10,636 ล้านบาท ตามยอดขายที่ 765,000 ตัน แบ่งเป็นขายในประเทศ 740,000 ตัน และส่งออก 25,000 ตัน โดยการส่งออกเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยหนุนด้านวิกฤติการขาดแคลนพลังงานจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน และยังได้รับอานิสงค์จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นทำให้ยอดขายในกลุ่ม Auto Gas ปรับเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงยอดขายในกลุ่ม Commercial และ Industrial ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน จากการเปิดประเทศ และการบรรเทาลงของสถานการณ์ไวรัสโควิด-19
 
อย่างไรก็ตาม จากการที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกในปี 66 จะเติบโตประมาณ 2.7% ซึ่งเป็นการเติบโตที่อ่อนแอที่สุดนับตั้งแต่ปี 2544 และคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา ยุโรป และลาตินอเมริกาจะเติบโตประมาณ 1%, 0.5% และ 1.7% ตามลำดับ ซึ่งทั้งหมดเป็นตลาดใหญ่ จะมีเพียงแถบเอเชียที่ยังขยายตัวได้ โดยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะเติบโตอยู่ที่ 4.9% จึงคาดว่าราคาพลังงานจะไม่เพิ่มขึ้นไปกว่าปี 65 เนื่องจากราคาน้ำมันดิบดูไบลดลงอย่างต่อเนื่อง

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (14 ธ.ค. 65)

Tags: , , , , , , , ,
Back to Top