หุ้นไทยแนวโน้มดัชนีเช้าย่อลงตามภูมิภาค กังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยยาวหลัง GDP โตกว่าคาด

นักวิเคราะห์ฯ คาดตลาดหุ้นไทยเช้านี้ย่อลตัวลงตามภูมิภาค กังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยยาวนานกว่าคาด หลังตัวเลข GDP สหรัฐออกมาดี โต 3.2% สะท้อนเศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่ง ขณะที่นักลงทุนรอดูตัวเลขเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐคืนนี้ คาดออกมา 5.5% จากเดือนก่อนหน้าที่ 6.0% ให้แนวรับ 1,605-1,595 จุด และแนวต้าน 1,620 จุด

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคระห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดย่อตัวลง ตามตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชีย นักลงทุนกังวลธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงยาวนานกว่าที่ประเมินไว้ กดดันให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย หลังสหรัฐ เปิดเผยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3/65 ปรับตัวขึ้น 3.2% สูงกว่าตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 และ 2 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 2.6% และ 2.9% ตามลำดับ โดยได้แรงหนุนจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่แข็งแกร่ง รวมทั้งการลดลงของตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐ สะท้อนเศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่ง

ขณะที่นักลงทุนยังติดตามดูการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐในคืนวันศุกร์นี้ ซึ่งถือเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อ โดยตลาดคาดจะอยู่ที่ 5.5% จากเดือนก่อนหน้าที่ 6.0% หากออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์จะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นไทย

ให้แนวรับไว้ที่ 1,605-1,595 จุด และแนวต้าน 1,620 จุด

ประเด็นพิจารณาการลงทุน

– ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (22 ธ.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,027.49 จุด ร่วงลง 348.99 จุด หรือ -1.05%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,822.39 จุด ลดลง 56.05 จุด หรือ -1.45% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 10,476.12 จุด ดิ่งลง 233.25 จุด หรือ -2.18%

– ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 26,207.77 จุด ลดลง 300.1 จุด หรือ -1.13%, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 19,382.23 จุด ลดลง 296.99 จุด หรือ -1.51% และดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,038.84 จุด ลดลง 15.59 จุด หรือ -0.51%

– ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (22 ธ.ค.65) 1,616.67 จุด เพิ่มขึ้น 6.73 จุด, +0.42%

– นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 139.24 ลบ.เมื่อวันที่ 22 ธ.ค.65

– ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค. (22 ธ.ค.) ลดลง 80 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 77.49 ดอลลาร์/บาร์เรล

– ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (22 ธ.ค.) อยู่ที่ 8.65 ดอลลาร์/บาร์เรล

– เงินบาทเปิด 34.82 อ่อนค่าจากวานนี้ หลังตัวเลขศก.สหรัฐหนุนดอลลาร์แข็งค่า

– ภาคธุรกิจหวั่นผลกระทบขึ้นค่าไฟ ผนึกกำลังค้าน ส.อ.ท.ชี้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น แจงผลกระทบการปรับขึ้นค่าไฟฟ้า ชี้ผู้ประกอบการต้องทยอยขึ้นราคาในปีหน้าเฉลี่ย 5-12% หวั่นค่าไฟไทยแพงที่สุดในอาเซียน กระทบดึงลงทุน “สมาคมโรงแรมไทย” ชี่ไมใช่ช่วงเหมาะสม ระบุยังอยู่ช่วงฟื้นจากโควิด และไม่สามารถผลักภาระต้นทุนแก่ผู้บริโภคได้ เหตุการแข่งขันรุนแรง ดัมพ์ราคาห้องพักดึงดูดนักท่องเที่ยว

– วงการตลาดทุนทั้ง “นักลงทุน-นักวิชาการ” รุมค้านภาษีขายหุ้น ย้ำชัดได้ไม่คุ้มเสีย เหตุทำสภาพคล่องพัง ฉุดมูลค่าหุ้นลดลง กระทบขีดแข่งขันประเทศ “ทีดีอาร์ไอ” ระบุชัดได้ไม่คุ้มเสีย ทำต่างชาติหนีตลาดหุ้นไทย ด้าน ดร.นิเวศน์ แนะปรับแนวคิด หันใช้ตลาดทุนยกระดับเทศ

– ธนาคารทหารไทยธนชาต ประเมินอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของไทยฟื้นเร็วเติบโตเกือบ 2.5 หมื่นล้านบาทในปี 66 แม้นักท่องเที่ยวต่างชาติยังคงน้อยกว่าช่วงก่อนวิกฤติโควิด-19 แต่ปัจจัยสนับสนุนจากกระแสการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และการพัฒนาใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ใหม่ๆ โดยเฉพาะเทรนด์การดูแลสุขภาพเชิงการป้องกัน และประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก

– เตรียมพร้อม! “ธนารักษ์” ประกาศเริ่มใช้บัญชีราคาประเมินที่ดินและสิ่งปลูกสร้างรอบใหม่ มีผลบังคับใช้ 1 ม.ค.2566 แจงยิบราคาประเมินที่ดินใหม่ทั้งประเทศเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 8.93% ส่วนราคาประเมินสิ่งปลูกสร้างพุ่ง 6.21% สุดปังที่ดิน กทม.ทะยานอีก 2.76% ส่วนราคาประเมินสิ่งปลูกสร้างเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 4.60%

– ททท.เปิดเผยว่า คาดการณ์การเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศช่วงเทศกาลปีใหม่ระหว่าง 31 ธ.ค. 2565-2 ม.ค. 2566 ว่า คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวในประเทศ 3.14 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้ 11,200 ล้านบาท และอัตราการเข้าพักเฉลี่ย (OR) 75% โดยภาคเหนือมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย สูง 78% จำนวน 560,380 คน-ครั้ง รายได้ 2,050 ล้านบาท

หุ้นเด่นวันนี้

– บมจ.เคที เมดิคอล เซอร์วิส (KTMS) พร้อมนำหุ้น IPO จำนวน 76.64 ล้านหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 23 ธ.ค.นี้ หมวดธุรกิจบริการ ภายใต้ชื่อย่อ “KTMS” บริษัทเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการให้บริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมและระบบผลิตน้ำบริสุทธิ์ สำหรับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม รวมทั้งการขายและการให้บริการที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์แบบครบวงจร (One-stop Services) รายแรกที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

– BBL (ฟินันเซีย ไซรัส) “ซื้อ” ราคาเป้าหมายจาก IAA Consensus 171.90 บาท แนวโน้มกำไรไตรมาส 4/65 คาดว่าจะเติบโตทั้ง Q-Q และ Y-Y ในอัตราที่สูงขึ้น แม้สินเชื่อคาดว่าจะทรงตัว Q-Q จากการชำระหนี้ของลูกค้าที่สูงขึ้น แต่ได้แรงหนุนจากทั้งส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่กว้างขึ้นและการตั้งสำรองที่มีแนวโน้มลดลง Consensus คาดกำไรปี 65-66 +13% Y-Y และ +12% Y-Y ตามลำดับ ตามทิศทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว และคาดเป็นหนึ่งในธนาคารที่ได้อานิสงส์สูงสุดจากดอกเบี้ยขาขึ้น จากสินส่วนสินเชื่อภาคธุรกิจที่สูง ด้าน Valuation ยังค่อนข้างถูก เทรด PBV เพียง 0.5 เท่า ต่ำกว่าช่วงก่อน COVID-19 ที่ราว 0.8 เท่า

– FORTH (ดาโอ) เป้าเชิงกลยุทธ์ 34.50 บาท ประเมินราคาหุ้นมีโอกาส Bottom out รายได้จากธุรกิจเต่าบินเติบโตต่อเนื่อง คงเป้าตู้เต่าบินปี 65 ที่ 5,000 (ณ Q3/65 อยู่ที่ 3,572 ตู้ +67%QoQ) ยอดขายเฉลี่ย/วัน อยู่ที่ 60 แก้ว Backlog ของ FORTH อยู่ที่ 960 ลบ. ส่วนปี 66 มี Potential Project ที่ให้ประมูลกว่า 9.2 พัน ลบ. หลังจากที่ล่าช้าในปีนี้ หากได้งานที่มีมูลค่าสูงตามแผน แนวโน้มกำไรจะดีกว่าที่ตลาดประเมิน Bloomberg Consensus ประเมินกำไรสุทธิปี 65-66 ที่ 768 ลบ. และ 1,246 ลบ. +6%YoY, +62%YoY ตามลำดับ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (23 ธ.ค. 65)

Tags: , ,
Back to Top