ฟิทช์คงอันดับเครดิต SCGP ที่ ‘A+(tha)’ แนวโน้มเครดิตยังคงเป็นลบ

บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-term Rating) และอันดับเครดิตภายในประเทศของโครงการหุ้นกู้ระยะกลาง (Medium-Term Note Program หรือ MTN) มูลค่ารวมสี่หมื่นล้านบาท ของ บมจ. เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) ที่ ‘A+(tha)’ แนวโน้มอันดับเครดิตยังคงเป็นลบ

อันดับเครดิตของ SCGP อยู่ในระดับเดียวกันกับอันดับเครดิตของบริษัทแม่ ซึ่งได้แก่ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) (A+(tha)/แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ) ที่มีสถานะทางเครดิตที่แข็งแกร่งกว่า ตามหลักเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตของฟิทช์ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทแม่กับบริษัทย่อย (Parent and Subsidiary Rating Linkage Criteria) แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบของ SCGP เป็นไปตามแนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบของ SCC ซึ่งสะท้อนถึงความเสี่ยงที่มีต่อความสามารถในการลดอัตราส่วนหนี้สินของบริษัทฯ ในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า

สถานะเครดิตโดยลำพัง (Standalone Credit Profile: SCP) ที่ ‘a(tha’) ของ SCGP สะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งในฐานะผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษชั้นนำในภูมิภาคอาเซียน โดยบริษัทมีกระแสเงินสดที่ค่อนข้างสม่ำเสมอและอัตราส่วนหนี้สินที่ต่ำ

ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต

การลดลงของอัตราส่วนหนี้สินที่ยังคงท้าทายของ SCC – ฟิทช์คาดว่า อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (หลังรวมเงินปันผลรับจากบริษัทร่วมและหักเงินปันผลจ่ายแก่ผู้ถือหุ้นส่วนน้อย) หรือ EBITDA net leverage ของ SCC จะคงอยู่ที่ระดับ 4.5-5.0 เท่า ในปี 2565-2566 (ณ สิ้นเดือนกันยายน 2565 อยู่ที่ 4.7 เท่า) เนื่องจากผลประกอบการของธุรกิจเคมิคอลส์ที่อ่อนแอ

การเริ่มดำเนินงานของโครงการ Long Son Petrochemicals (LSP) ในประเทศเวียดนามในกลางปี 2566 และส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นในปี 2567 น่าจะทำให้กระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นอย่างมาก ทั้งนี้ การฟื้นตัวของธุรกิจหรือผลประกอบการของโครงการ LSP ที่ต่ำกว่าที่คาด รวมถึงค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนที่สูงกว่าประมาณการโดยที่ไม่มีการเพิ่มทุนมาชดเชย อาจส่งผลกระทบในทางลบต่ออันดับเครดิตได้

การพิจารณาความสัมพันธ์กับบริษัทแม่ – ฟิทช์ประเมินว่า SCC ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นของ SCGP ในสัดส่วนร้อยละ 72 มีแรงจูงใจในการให้การสนับสนุนต่อ SCGP จากความสัมพันธ์เชิงกฎหมาย (Legal Incentive) ที่อยู่ในระดับต่ำ และจากความสัมพันธ์เชิงกลยุทธ์ (Strategic Incentive) และ ความสัมพันธ์ด้านการดำเนินงาน (Operational Incentive) ที่อยู่ในระดับปานกลาง ซึ่งส่งผลให้ SCGP ได้รับการปรับเพิ่มอันดับเครดิตสูงสุดไม่เกินสองอันดับจากสถานะเครดิตโดยลำพังของ SCGP อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสถานะเครดิตโดยลำพังของ SCGP ต่ำกว่าสถานะทางเครดิตของกลุ่มของบริษัทแม่เพียงหนึ่งอันดับ ดังนั้นอันดับเครดิตของ SCGP จึงเท่ากันกับสถานะทางเครดิตของกลุ่มของบริษัทแม่ ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของฟิทช์

ความสัมพันธ์เชิงกลยุทธ์ในระดับปานกลาง – แรงจูงใจในการให้การสนับสนุนต่อ SCGP จากความสัมพันธ์เชิงกลยุทธ์จาก SCC เป็นผลมาจากสัดส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของ SCGP ต่อ EBITDA รวมของกลุ่มที่อยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงที่ประมาณร้อยละ 30 เนื่องจากธุรกิจของ SCGP เป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจหลักของ SCC นอกจากนี้ SCC ยังได้รับประโยชน์จากการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ มายังธุรกิจแพคเกจจิ้งของ SCGP เนื่องจากกลุ่มธุรกิจอื่นของ SCC ได้แก่ กลุ่มธุรกิจเคมิคอลส์ และกลุ่มธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เป็นธุรกิจที่มีความผันผวนมากกว่าธุรกิจแพคเกจจิ้งของ SCGP

ความสัมพันธ์ด้านการดำเนินงานในระดับปานกลาง – ฟิทช์พิจารณาแรงจูงใจในการให้การสนับสนุนจากความสัมพันธ์ด้านโครงสร้างการบริหารและการใช้แบรนด์ร่วมกัน (Management and Brand Overlap) อยู่ในระดับสูง และความสัมพันธ์ด้านการดำเนินงาน (Operational Synergies) อยู่ในระดับต่ำ โดยการตัดสินใจทางการบริหารและกลยุทธ์ของ SCGP มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับ SCC และบริษัทย่อยของ SCC จะใช้แบรนด์สินค้าหลักร่วมกันภายใต้แบรนด์ “SCG” ของบริษัทแม่ อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ด้านการดำเนินงาน (Operational Synergies) ที่อยู่ในระดับต่ำ เป็นผลมากจากการที่ SCC และ SCGP ดำเนินธุรกิจที่แตกต่างกัน ส่งผลให้การลดต้นทุนการดำเนินงานของบริษัทแม่ จากการดำเนินงานของ SCGP มีไม่มากนักในมุมมองของฟิทช์

EBITDA เติบโตต่อเนื่อง – ฟิทช์คาดว่า EBITDA ของ SCGP จะเติบโตร้อยละ 2 ในปี 2565 (ปี 2564 เติบโตร้อยละ 16) เป็นผลจากการขยายกำลังการผลิตและการรับรู้ผลกำไรจากกิจการที่ได้เข้าซื้อในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม การปรับเพิ่มกำลังการผลิตในระยะแรก (Ramp-up Period) ของกำลังการผลิตใหม่ในกลุ่มกระดาษบรรจุภัณฑ์ และต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น ทำให้อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้ (EBITDA Margin) ลดลงเหลือประมาณร้อยละ 13 (ปี 2564 อยู่ที่ร้อยละ 15.2) ฟิทช์คาดว่า EBITDA ของบริษัทฯ จะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 10-15 ต่อปี ในปี 2566-2567 จากการขยายตัวของธุรกิจที่มีอยู่และการเข้าซื้อกิจการ ในขณะที่ EBITDA Margin น่าจะฟื้นตัว จากการที่บริษัทฯ สามารถปรับราคาขายเพิ่มขึ้น ในขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบอ่อนตัวลง

ฐานะทางการเงินยังคงแข็งแกร่ง – ฟิทช์คาดว่า SCGP น่าจะสามารถรักษาอัตราส่วนหนี้สิน EBITDA net leverage ให้อยู่ต่ำกว่า 2.5 เท่า แม้ว่าบริษัทฯ จะยังคงดำเนินแผนการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า เพื่อสร้างความเติบโตให้กับธุรกิจ บริษัทฯ มุ่งเน้นการขยายธุรกิจสินค้าบรรจุภัณฑ์ขั้นปลายในกลุ่มประเทศอาเซียน รวมถึงการขยายธุรกิจไปยังการจำหน่ายผลิตภัณฑ์พร้อมการให้บริการแบบครบวงจรในลักษณะโซลูชั่นสำหรับกลุ่มบรรจุภัณฑ์ทั้งกระดาษและพลาสติก ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สิน EBITDA net leverage ของ SCGP จะคงอยู่ที่ระดับ 1.9 เท่าในปี 2565 (ปี 2564: 1.9 เท่า)

ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษชั้นนำในภูมิภาคอาเซียน – สถานะเครดิตโดยลำพังของ SCGP สะท้อนถึงสถานะความเป็นผู้นำตลาด ในฐานะผู้ผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์กล่องลูกฟูกที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียน ฟิทช์ประมาณการว่า กำลังการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์กระดาษขั้นปลายของ SCGP น่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 6.0 ล้านตันต่อปี ในปี 2565 และเพิ่มเป็น 6.3 ล้านตันต่อปี ในปี 2567 จากประมาณ 5.7 ล้านตันต่อปี ในปี 2564 กำลังการผลิตสินค้ากลุ่มบรรจุภัณฑ์อาหารและบรรจุภัณฑ์พลาสติกของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นกัน แต่เป็นการเพิ่มขึ้นจากฐานที่ต่ำ หลังจากการเข้าซื้อกิจการจำนวนมากตั้งแต่ปี 2563

ความต้องการซื้อผลิตภัณฑ์ที่สม่ำเสมอ – ประมาณร้อยละ 70 ของรายได้จากบรรจุภัณฑ์ของ SCGP มาจากกลุ่มสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการอุปโภค บริโภค ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่มีความต้องการซื้อที่ค่อนข้างสม่ำเสมอตลอดช่วงวัฏจักรเศรษฐกิจและมีอัตราการเจริญเติบโตที่สูง นอกจากนี้ ธุรกิจของ SCGP ยังได้รับประโยชน์จากการขยายสายการผลิตสินค้าไปยังสินค้าขั้นต้น (Vertical Integration) เช่น กระดาษบรรจุภัณฑ์ซึ่งทำให้บริษัทฯ สามารถลดผลกระทบต่ออัตราส่วนกำไรจากการปรับเพิ่มขึ้นของราคาวัตถุดิบได้ในระดับหนึ่ง ฟิทช์คาดว่า SCGP จะมีกำลังการผลิตและความหลากหลายของสินค้าเพิ่มขึ้นในช่วงสามถึงห้าปีข้างหน้า ซึ่งจะช่วยเพิ่มฐานลูกค้า และความต้องการซื้อของลูกค้าในผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ได้

การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป

สถานะเครดิตโดยลำพังของ SCGP ใกล้เคียงกับอันดับเครดิตของ บมจ.ปูนซีเมนต์นครหลวง (SCCC) (A(tha)/แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ) โดยบริษัททั้งสองเป็นบริษัทที่อันดับเครดิตได้รับการสนับสนุนจากสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในกลุ่มธุรกิจของตนเอง SCCC เป็นผู้ผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่อันดับสองของประเทศไทย แต่กระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทมีความอ่อนไหวในช่วงเศรษฐกิจขาลงมากกว่า SCGP เนื่องจาก SCCC มีธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ SCGP มีการกระจายความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์และกลุ่มธุรกิจของลูกค้าที่หลากหลายกว่า รวมถึงมีความต้องการซื้อจากลูกค้าที่มีความสม่ำเสมอมากกว่า ส่งผลให้ SCGP สามารถรองรับอัตราส่วนหนี้สินที่สูงกว่า SCCC ที่อันดับเครดิตเดียวกัน

SCGP มีขนาดธุรกิจที่ใหญ่กว่า บมจ.โพลีเพล็กซ์ (ประเทศไทย) (PTL) (A-(tha)/แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งเป็นผู้ผลิตแผ่นฟิล์ม PET ชั้นนำ ในด้านรายได้และ EBITDA โดย PTL มีการกระจายความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์ที่ดีกว่า แต่ถูกลดทอนจากการที่ SCGP เป็นผู้นำตลาดในธุรกิจกระดาษบรรจุภัณฑ์ในกลุ่มประเทศอาเซียน SCGP มีอัตราส่วนหนี้สินที่สูงกว่า PTL เล็กน้อย แต่ด้วยสถานะทางธุรกิจที่ดีกว่า ทำให้ SCGP มีอันดับเครดิคที่สูงกว่า PTL อยู่หนึ่งอันดับ

สมมุติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ

– รายได้เติบโตประมาณร้อยละ 8 ในปี 2566 (ปี 2565 คาดว่าจะเติบโตร้อยละ 18) โดยได้รับการสนับสนุนจากความต้องการซื้อสินค้าที่ปรับตัวดีขึ้น และการขยายกำลังการผลิต

– EBITDA Margin เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับประมาณร้อยละ 14-15 ต่อปี ในปี 2566-2567 (ปี 2565 อยู่ที่ร้อยละ 13.2) จากการลดลงของแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อที่สูง

– ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาทในปี 2566 และประมาณ 6 พันล้านบาทในปี 2567

– อัตราการจ่ายเงินปันผลต่อกำไรสุทธิ (Dividend Payout) ที่ระดับร้อยละ 40 ในปี 2566-2567

ปัจจัยที่อาจมีผลกับอันดับเครดิตในอนาคต

ปัจจัยบวก: แนวโน้มอันดับเครดิตอาจกลับมามีเสถียรภาพหากแนวโน้มอันดับเครดิตของ SCC ถูกปรับกลับมามีเสถียรภาพ โดยที่ความสัมพันธ์ระหว่าง SCGP และ SCC ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

ปัจจัยลบ: การปรับลดอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ SCC และความสัมพันธ์ระหว่าง SCGP และ SCC ที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

สำหรับสถานะเครดิตโดยลำพังของ SCGP

ปัจจัยบวก: สถานะทางธุรกิจที่ดีขึ้น และขนาดของธุรกิจที่ใหญ่ขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยวัดจาก EBITDA ที่สูงขึ้น และการกระจายความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์ที่ดีขึ้นและมีประเภทสินค้าที่หลากหลายขึ้น

ปัจจัยลบ: EBITDA net leverage อยู่ในระดับสูงกว่า 3.5 เท่า อย่างต่อเนื่อง

สำหรับอันดับเครดิตของ SCC ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคตได้แสดงในรายงานอันดับเครดิตของฟิทช์ลงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 ดังนี้

ปัจจัยบวก: แนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับกลับมาเป็นมีเสถียรภาพได้ หากบริษัทฯ สามารถลด EBITDA net leverage ลงมาอยู่ในระดับประมาณ 3.5 เท่า ได้ภายในปี 2567 และลดลงต่อเนื่องหลักจากนั้น

ปัจจัยลบ: บริษัทฯ ไม่สามารถทำตามปัจจัยบวกข้างต้นได้

สภาพคล่องเพียงพอ: SCGP มีหนี้สินที่ครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้าจนถึงสิ้นเดือนกันยายน 2566 จำนวน 2.3 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วยเงินกู้ยืมระยะสั้นสำหรับใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนประมาณ 2.1 หมื่นล้านบาท และเงินกู้ระยะยาวที่ครบกำหนดชำระประมาณ 2 พันล้านบาท สภาพคล่องของ SCGP ได้รับการสนับสนุนจาก เงินสดในมือจำนวนประมาณ 1.0 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2565 กระแสเงินสดจากการดำเนินงานประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาทต่อปี และความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนผ่านตลาดตราสารหนี้และสินเชื่อจากสถาบันการเงินในประเทศ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (02 ก.พ. 66)

Tags: , , ,
Back to Top