สธ. ยันวัคซีนโควิดชนิด mRNA มีประสิทธิภาพ-ปลอดภัยสูง

กรมควบคุมโรค ยืนยันวัคซีนโควิด-19 ชนิด mRNA มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูง สามารถป้องกันการป่วยหนักและเสียชีวิต รวมทั้งปัจจุบันยังไม่พบความเกี่ยวข้องของการเกิดภาวะสมองอักเสบ ส่วนภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบตามหลังการฉีดวัคซีน ข้อมูลในประเทศไทยพบในอัตราที่ต่ำมาก และส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง

นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า กรณีที่มีการส่งต่อข้อความในสื่อโซเชียลเกี่ยวกับประเด็นเรื่องการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจและสมองอักเสบ จากการฉีดวัคซีนโควิด-19 ชนิด mRNA นั้น กรมฯ ได้ตรวจสอบข้อมูลทางวิชาการจากต่างประเทศพบว่า ปัจจุบันยังไม่พบความเกี่ยวข้องของการเกิดอาการสมองอักเสบกับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ชนิด mRNA

ส่วนอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบตามหลังการฉีดวัคซีน ข้อมูลในประเทศไทยพบได้ประมาณ 1 ราย ต่อการฉีดหนึ่งล้านเข็ม ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำมาก และส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง ในทางกลับกันพบว่าผู้ป่วยโควิด-19 จะมีโอกาสเกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบมากกว่า 5-10 เท่า และมีความรุนแรงสูงกว่ามากโดยเฉพาะในผู้สูงอายุ เมื่อติดเชื้อโควิดจะมีโอกาสเข้าไอซียู หรือเสียชีวิตจากภาวะทางหัวใจและปอดได้สูงหากไม่ฉีดวัคซีน แต่ถ้าได้รับฉีดวัคซีน ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้จะพบได้น้อยลงมาก แม้จะเป็นโควิด-19 ดังนั้น การฉีดวัคซีนช่วยลดโอกาสเกิดหัวใจอักเสบจากโรคโควิด-19 ได้

“กระทรวงสาธารณสุข ยังคงเร่งรณรงค์ฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มกระตุ้นในกลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่มเสี่ยง เพื่อลดอัตราการป่วยรุนแรงและเสียชีวิต ยืนยันว่าวัคซีนชนิด mRNA ที่ประเทศไทยจัดหามาทั้งชนิดรุ่นเก่า (monovalent) และรุ่นใหม่ (bivalent) มีประสิทธิภาพ และความปลอดภัยในระดับสูง” อธิบดีกรมควบคุมโรค ระบุ

นพ.ธเรศ กล่าวต่อว่า ก่อนที่กระทรวงสาธารณสุขจะออกคำแนะนำการใช้วัคซีนโควิด-19 ในทุกครั้ง ได้ผ่านการพิจารณาโดยคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคถึงประสิทธิภาพของวัคซีน ความสามารถในการลดการติดเชื้อ ป่วยหนัก และลดการเสียชีวิตหากฉีดวัคซีนได้ครบถ้วน โดยคณะกรรมการฯ ได้คำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยเป็นสำคัญ หากพบเคสที่มีอาการรุนแรงภายหลังการได้รับวัคซีน คณะผู้เชี่ยวชาญเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ภายหลังได้รับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค (AEFI) จะดูรายละเอียดว่าเป็นผลจากวัคซีนหรือไม่ในทุกราย

ปัจจุบัน ประเทศไทยฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ไปมากกว่า 146 ล้านโดส ในจำนวนนี้เป็นวัคซีน mRNA มากกว่า 55 ล้านโดส วัคซีนดังกล่าวมีประสิทธิภาพดี มีความปลอดภัยสูง อาการข้างเคียงที่พบบ่อย มักเป็นอาการไม่รุนแรง เช่น ปวดบริเวณที่ฉีด หรืออาจมีไข้ต่ำๆ สำหรับอาการข้างเคียงที่รุนแรง เช่น การแพ้วัคซีน จะพบได้น้อยมาก

ด้าน พญ.กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ หัวหน้าสาขาวิชาโรคติดเชื้อ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า การฉีดวัคซีน mRNA ผ่านจุดที่เรียกว่าทดลองมานานแล้ว เพราะวัคซีน mRNA มีการฉีดไปแล้วมากกว่าพันล้านโดสทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน หรือเรียกว่าเป็นวัคซีนที่มีการศึกษาประสิทธิภาพ และความปลอดภัย ตามกระบวนการที่เข้มงวด ทั้งก่อนและหลังการขึ้นทะเบียน

นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลจากการศึกษาทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ ที่มีการฉีดวัคซีนครอบคลุมในประชากรที่แตกต่างกัน ผลออกมาชัดเจนว่า ยิ่งอัตราการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นเท่าใด จำนวนผู้ป่วย รวมถึงอัตราการเสียชีวิตในประชากรจะยิ่งลดลง ซึ่งเน้นย้ำให้เห็นว่า วัคซีนมีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อ ป้องกันการแพร่กระจายโรค และป้องกันการเสียชีวิตในประชากรได้จริง และยังช่วยลดการเกิดภาวะลองโควิด หรืออาการตกค้างหลังจากหายจากโรคโควิดแล้วได้ด้วย และที่สำคัญ คือในเด็กวัคซีนจะป้องกันภาวะมิสซี (MIS-C) ซึ่งทำให้เด็กป่วยหนักมากได้

ส่วนภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบตามหลังการฉีดวัคซีนชนิด mRNA นั้น ในต่างประเทศมีรายงานอยู่ที่ประมาณ 1 ในแสนโดส ในผู้ที่อายุน้อยและวัยรุ่น ส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย แต่ในประเทศไทยพบน้อยกว่ามาก คือเฉลี่ยประมาณ 1 ในล้านโดส ซึ่งมักมีอาการไม่รุนแรง

“การฉีดวัคซีนอาจทำให้เกิดอาการไข้ เพลีย บางคนหัวใจเต้นเร็วขึ้น และมีความดันโลหิตสูงขึ้นได้ชั่วคราว จึงขอให้พักผ่อนให้เพียงพอหลังการฉีดวัคซีน งดออกกำลังกายอย่างหนักในช่วงสัปดาห์แรกของการฉีดวัคซีน โดยเฉพาะผู้ชายที่อายุน้อยกว่า 30 ปี หากมีอาการผิดปกติให้รีบไปพบแพทย์ ซึ่งจะได้รับการดูแลรักษาที่เหมาะสม” 

พญ.กุลกัญญา กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (27 ก.พ. 66)

Tags: , ,
Back to Top