KCG จ่อขาย IPO-เข้า SET หลัง ก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่ง โชว์ศักยภาพ Food Supply ชั้นนำ

บมจ.เคซีจี คอร์ปอเรชั่น (KCG) เตรียมเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 170 ล้านหุ้นและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หลังจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้เริ่มนับหนึ่งแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (Filing) และอนุมัติแบบคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ต่อประชาชนเรียบร้อยแล้ว

นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บล.บัวหลวง ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า ปัจจุบัน KCG อยู่ระหว่างการดำเนินการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงพิจารณาช่วงเวลาเสนอขายหุ้นที่เหมาะสม โดย KCG มีแผนที่จะออกและเสนอขายหุ้น IPO ไม่เกิน 170 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 30.4% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ เพื่อใช้ขยายกำลังการผลิต รวมถึงเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจตามกลยุทธ์ของบริษัทฯ

นายวาทิต ตมะวิโมกษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ KCG เปิดเผยว่า บริษัทเป็นผู้นำในการผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อการบริโภค ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์เนย ชีส บิสกิต และส่วนประกอบอาหารและเบเกอรี่ที่หลากหลาย อีกทั้งยังเป็นผู้นำเข้าเนย ชีส วัตถุดิบเบเกอรี่และอาหารตะวันตกจากหลากหลายแบรนด์ชั้นนำทั่วโลก มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมอาหารกว่า 64 ปี

บริษัทดำเนินงานภายใต้วิสัยทัศน์ “บริษัทชั้นนำในการนำเสนอผลิตภัณฑ์จากนมและอาหารรสเลิศ รวมทั้งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่มุ่งมั่น เพื่อการดำเนินชีวิตที่ทันสมัย” ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่สร้างความรื่นรมย์ให้กับรสชาติอาหารที่มีคุณภาพในทุกช่วงมื้ออาหารของผู้บริโภค พร้อมทั้งจัดหาวัตถุดิบและคัดสรรแบรนด์ชั้นนำจากทั่วทุกมุมโลก สอดรับกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคทุกเพศทุกวัยทั้งประเทศไทยและต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายก้าวสู่ผู้นำการผลิตและนำเข้าผลิตภัณฑ์เนย ชีส และอาหารสำเร็จรูปชั้นนำจากทั่วโลก ที่มีคุณภาพรายใหญ่ของประเทศไทย

KCG มีผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและแบรนด์อันแข็งแกร่งที่สร้างสรรค์นวัตกรรมอาหารที่มีคุณภาพ สอดรับกับวิถีชีวิตของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงทุกช่วงเวลา ภายใต้ฐานการผลิตอันแข็งแกร่งและระบบโลจิสติกส์แบบควบคุมอุณหภูมิ (Cold Chain) ที่มีประสิทธิภาพ สามารถกระจายสินค้าครอบคลุมทุกช่องทางทั่วประเทศ โดยปัจจุบัน KCG มีผลิตภัณฑ์หลักแบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่

1. กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม (Dairy Products) ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์เนย เนยแข็ง ภายใต้แบรนด์หลักที่เป็นที่นิยม ได้แก่ Allowrie Imperial และผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปจากนม เช่น นมพร้อมดื่ม วิปปิ้งครีม 2. กลุ่มผลิตภัณฑ์ประกอบอาหารและเบเกอรี่ (Food and Bakery Ingredients) และผลิตภัณฑ์อื่นๆ แบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 1) ผลิตภัณฑ์อาหาร ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์ส่วนผสมของอาหาร (Food Ingredients) เช่น น้ำมันมะกอก ผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป เป็นต้น 2) ผลิตภัณฑ์ประกอบการทำเบเกอรี่ อาทิ แป้งเค้กและแป้งมิกซ์ 3) ผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้เข้มข้นภายใต้แบรนด์ SUNQUICK และ 4) อุปกรณ์ทำเบเกอรี่และประกอบอาหาร และ 3. กลุ่มผลิตภัณฑ์บิสกิต (Biscuits) ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์คุกกี้ ผลิตภัณฑ์แครกเกอร์ และผลิตภัณฑ์เวเฟอร์ ภายใต้แบรนด์หลัก ได้แก่ Imperial Rosy Violet

นายดำรงชัย วิภาวัฒนกุล รองกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส KCG กล่าวว่า บริษัทมีนโยบายขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้ 4 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1. การนำเทคโนโลยีมายกระดับกระบวนการผลิต โดยปีนี้บริษัทเตรียมลงทุนเครื่องจักรระบบอัตโนมัติ (Automation) เพื่อขยายกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์ชีส และในปี 2567 จะเดินหน้าขยายกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์เนย เพื่อผลิตสินค้าที่มีคุณภาพตลอดจนสามารถบริหารจัดการต้นทุนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ บริษัทได้เตรียมปรับพื้นที่ภายในโรงงานโดยแบ่งตามชนิดผลิตภัณฑ์ (Product Layout) ที่เทียบเท่ามาตรฐาน GMP C และ GMP D ซึ่งเป็นมาตรฐานยุโรปที่มีความปลอดภัยด้านอาหารและสุขอนามัย

2. มุ่งมั่นวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ นวัตกรรม และสูตรใหม่ ทั้งในผลิตภัณฑ์ประเภทที่ทำจากนมและไม่ได้ทำจากนม ซึ่งดีต่อสุขภาพและสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ (New Normal Lifestyle) เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำการเสนอสินค้าใหม่ออกสู่ตลาด (Trend Setter) อย่างต่อเนื่อง

3. การขยายช่องทางจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง โดยสำหรับกลุ่มผู้บริโภค (B2C) บริษัทฯ จะขยายช่องทางผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ร้านสะดวกซื้อและตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ (Vending Machine) พร้อมยกระดับการให้บริการกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ (B2B) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้านอาหาร โรงแรม ร้านอาหารและจัดเลี้ยง และอุตสาหกรรมผลิตอาหาร โดยการจัดหาผลิตภัณฑ์แบบครบวงจร พร้อมมุ่งขยายตลาดต่างประเทศผ่านตัวแทนจัดจำหน่าย โดยวางแผนสร้างพันธมิตรธุรกิจร่วมกับตัวแทนจัดจำหน่ายในเวียดนาม เพื่อเพิ่มการขยายตลาดส่งออกให้กว้างขวางยิ่งขึ้น จากในปัจจุบันที่ขยายไปแล้วรวม 15 ประเทศทั่วโลก เช่น ญี่ปุ่น จีน ฯลฯ

และ 4. การขยายธุรกิจผ่านการควบรวมกิจการ (M&A Opportunities) หรือการร่วมทุน (Joint Venture) เพื่อให้สามารถบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 เม.ย. 66)

Tags: , , , , , ,
Back to Top