“มูฟฟาสท์” ยื่นไฟลิ่งขาย IPO 36 ล้านหุ้น-เข้า mai ใช้ขยายธุรกิจอีคอมเมิร์ซ-ทำ M&A เสริม ECO System

บมจ.มูฟฟาสท์ (MOVEFAST) ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ไม่เกิน 36,000,000 หุ้น คิดเป็นไม่เกิน 26.47% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดหลัง IPO และจะเข้าจดทะเยียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยมีบริษัท เจย์ แคปปิตอล แอดไวเซอรี จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

วัตถุประสงค์การใช้เงินจากการระดมทุน เพื่อจัดทำผลิตภัณฑ์และแบรนด์สินค้าที่บริษัทเป็นเจ้าของ, ใช้เป็นเงินทุนเพื่อการขยายธุรกิจ , ใช้สำหรับสรรหาและพัฒนาบุคลากรที่มีความสามารถและปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล 5.0, ใช้สำหรับการเข้าซื้อกิจการที่อาจมีขึ้นในอนาคตเพื่อส่งเสริม ECO System และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนภายในกิจการ

MOVEFAST ประกอบธุรกิจเป็นผู้ให้บริการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์แบบครบวงจร โดยเป็นผู้จัดจำหน่าย และรับฝากขายสินค้าประเภทต่างๆ ผ่านแพลตฟอร์ม Social Media และ Online Marketplace ต่างๆ รวมถึงให้บริการด้านการตลาด การบริหารจัดการสินค้าคงคลัง การจัดส่งสินค้า การวิเคราะห์ข้อมูลสินค้าและการขาย ให้แก่คู่ค้าของบริษัทฯ หรือเรียกว่า “Social Commerce Provider” โดยปัจจุบันบริษัทฯ ให้บริการเป็นผู้จัดจำหน่ายและรับฝากขายสินค้าให้กับคู่ค้าหลากหลายแบรนด์ อาทิ “LYO” “Aelova” “Viv Skin” “Kimberlite” “NangNgam” เป็นต้น โดยสินค้าที่ให้บริการมีหลากหลายประเภท อาทิ โดยมุ่งเน้นสินค้าประเภทผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผม ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เป็นต้น

บริษัททำการจัดจำหน่ายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ต่างๆ เช่น Facebook Line TikTok รวมถึงแพลตฟอร์ม Online Marketplace เช่น Shopee Lazada เป็นต้น โดยสินค้าจะถูกจัดเก็บในคลังสินค้าและจัดส่งโดยบริษัทฯ ผ่านทางผู้ให้บริการด้านคลังสินค้าและการขนส่งแบบครบวงจร

บริษัทถือหุ้นอยู่ในบริษัทย่อยที่ประกอบธุรกิจหลัก 1 บริษัทฯ ได้แก่ บริษัท เอสเคเจ ซุปเปอร์ วิชั่นส์ จำกัด (SKJ) ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายแบรนด์สินค้าผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร “SKJ Proteoglycan” และ “Aelova” โดยบริษัทฯ ถือหุ้นใน 50% ของทุนชำระแล้วทั้งหมดของ SKJ โดยจัดตั้งบริษัทย่อยดังกล่าวร่วมกับนายณัฐวุฒิ สกิดใจ และนางพรทิพย์ สกิดใจ ซึ่งทั้งคู่เป็นดารานักแสดงที่มีชื่อเสียง

สำหรับการเป็นผู้จัดจำหน่ายและให้บริการรับฝากขายสินค้า บริษัทจะจัดหาแบรนด์สินค้าเพื่อมาจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์จากผู้ผลิตและผู้จำหน่ายสินค้าในประเทศ โดยใช้ลักษณะการเป็นผู้จัดจำหน่าย และ/หรือการให้บริการรับฝากขาย โดยการเข้าทำสัญญาแต่งตั้งผู้จัดจำหน่ายและสัญญาให้บริการรับฝากขายสินค้าจากคู่ค้าโดยมีอัตราการแบ่งรายได้ตามที่ตกลงกัน บริษัททำการขายสินค้าแก่ลูกค้าปลีกในราคาขายปลีกซึ่งเป็นไปตามข้อตกลงกับคู่ค้า

บริษัทยังให้บริการด้านการตลาดอย่างครบวงจรภายใต้ชื่อบริการว่า “Movefast Up-Sell” เช่น การให้บริการโฆษณาผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ การจัดหาผู้มีอิทธิพลทางสื่อสังคม (Influencer) เพื่อช่วยในการประชาสัมพันธ์สินค้า การให้บริการสถานที่และอุปกรณ์สำหรับการไลฟ์สดขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ การวางแผนและสร้างสรรค์เนื้อหาในรูปแบบกราฟฟิกและวิดีโอสำหรับการประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางออนไลน์ เป็นต้น นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับการแต่งตั้งเป็นตัวแทน (Agency) ของแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยบริษัทจะขายสื่อโฆษณาผ่านแพลตฟอร์มดังกล่าวให้แก่ลูกค้ด้โดยตรง และได้รับส่วนลดจากการซื้อสื่อโฆษณาตามอัตราที่ได้ตกลงไว้กับทางแพลตฟอร์ม

ณ วันที่ 7 มิ.ย.66 บริษัทมีทุนจดทะเบียน 68,000,000 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 136,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท และทุนชำระแล้ว 50,000,000 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 100,000,000 หุ้น ภายหลัง IPO จะมีทุนชำระแล้วครบจำนวน โครงสร้างผู้ถือหุ้นมีนายโตชิ ศิริจิวานนท์ ถือหุ้น 66,000,000 หุ้น คิดเป็น 66% หลัง IPO จะลดสัดส่วนเหลือ 48.53% นางพนิดา วิริยะกิจนุกุล ถือ 33,000,000 หุ้น คิดเป็น 33% จะลดเหลือ 24.26%

ผลการดำเนินงานในปี 63-65 บริษัทมีรายได้จากการขายและให้บริการเท่ากับ 212.77 ล้านบาท 315.17 ล้านบาท และ 298.85 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยรายได้หลักมาจากการให้บริการเป็นขายสินค้าและบริการรับฝากขายสินค้าให้กับคู่ค้า ขณะที่กำไรสุทธิเท่ากับ 45.63 ล้านบาท 31.30 ล้านบาท 32.64 ล้านบาท ตามลำดับ โดยคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 21.45% 9.93% และ 10.92% ของรายได้จากการขายและให้บริการในแต่ละปี

สำหรับงวด 3 เดือนแรกปี 65 และ 66 บริษัทมีรายได้จากการขายและให้บริการเท่ากับ 65.30 ล้านบาท และ 97.41 ล้านบาท ตามลำดับ หรือคิดเป็นอัตราการเติบโต 49.16% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า มาจากการประสบความสำเร็จในการเป็นผู้จัดจำหน่ายอาหารเสริม “Aelova” ส่วนกำไรสุทธิเท่ากับ 2.79 ล้านบาท และ 13.08 ล้านบาท ตามลำดับ และมีอัตรากำไรสุทธิในแต่ละงวดเท่ากับ 4.27% และ 13.43%

บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิตามงบการเงิน เฉพาะกิจการของบริษัท หลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และหลังหักสำรองต่างๆ ทุกประเภทที่กฎหมายและบริษัทกำหนด

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (20 มิ.ย. 66)

Tags: , , , , ,
Back to Top