HANA บวกนำกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ตาม NASDAQ-กลับมาเก็งกำไรหุ้น Global Play

กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ปรับตัวขึ้นได้ดีกว่าดัชนี SET นำโดย HANA ตอบรับ Sentiment เชิงบวกจาก Nasdaq ดีดตัวขึ้น และนักลงทุนกลับมาเก็งกำไรหุ้นกลุ่ม Global Play

เมื่อเวลา 10.18 น.

  • HANA ปรับขึ้น 3.59% หรือ 1.75 บาท มาที่ 50.50 บาท มูลค่าซื้อขาย 244.11 ล้านบาท

  • KCE ปรับขึ้น 1.27% หรือ 0.50 บาท มาที่ 39.75 บาท มูลค่าซื้อขาย 175.46 ล้านบาท

  • DELTA ปรับขึ้น 0.96% หรือ 1.00 บาท มาที่ 105.00 บาท มูลค่าซื้อขาย 255.06 ล้านบาท

นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า หุ้นกลุ่มชิ้นส่วนอิเลิกทรอนิกส์ปรับตัวขึ้นได้ดีกว่าภาพรวม รับ Sentiment ดัชนี Nasdaq ดีดตัวขึ้นมาตามหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยวานนี้ Nasdaq บวก 0.93% ขณะที่ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นมา 0.22% และดัชนี S&P500 ขึ้น 0.39%

นอกจากนี้ นักลงทุนกลับมาเก็งกำไรหุ้นกลุ่ม Global play ในช่วงระหว่างรอความชัดเจนทางการเมืองในประเทศ อย่างไรก็ตาม คาดว่าเป็นการสลับมาเล่นอย่างโดดเด่นแค่ชั่วคราว เพราะหุ้นในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์หลายตัวค่อนข้างเต็มมูลค่า โดย HANA ให้ราคาเหมาะสม 35 บาท และ KCE ให้ราคาเหมาะสม 36 บาท แต่ก็มีโอกาสปรับประมารการ

ขณะที่คาดการณ์งบการเงิน HANA ในไตรมาส 2/66 ที่จะออกมา 11 ส.ค.นี้ คาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโต 33% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน (QoQ) แต่ลดลง 35% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ส่วน KCE คาดกำไรสุทธิในไตรมาส 2/66 จะเพิ่มขึ้น 28% QoQ แต่ลดลง 33% YoY ทั้งนี้ผลประกอบการทั้งสองบริษัทน่าจะผ่านจุดต่ำสุด (Bottom out) ในไตรมาส 1/66 ไปแล้ว เริ่มเห็นกำไรฟื้นตัวในไตรมาส 2/66

ด้าน บล.เอเอสแอล ระบุในบทวิเคราะห์ว่า การปรับขึ้นของ HANA ในเชิง Sentiment รับประโยชน์จากตัวเลขส่งออกรถยนต์ในเกาหลีฟื้นตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 หนุนกลุ่ม Semiconductor ให้ฟื้นตัว รวมถึงเป็นตัวแทนของภาพการส่งออกในเอเชียที่ดีขึ้น นอกจากนี้แนวโน้มภาคการส่งออกของไทยคาดว่าจะฟื้นตัวขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้

โดยเฉพาะ HANA ที่ได้ประโยชน์จากการเติบโตของกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า ขณะที่ในเชิง Sentiment รับอานิสงส์บวกจากค่าเงินบาทอ่อนค่าเมื่อเทียบกับต้นปี และ US bond yield ที่คาดว่าไม่ปรับตัวขึ้นแรงกว่านี้แล้ว ข้อมูลจาก Refinitiv consensus จาก 11 โบรกเกอร์ ประเมินรายได้ของ HANA ในปี 66 ที่ 28,023 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2,038 ล้านบาท เทียบกับปี 65 ที่มีรายได้และกำไรสุทธิ 27,167 ล้านบาท และ 2,102 ล้านบาท ตามลำดับ

ส่วนแนวโน้มไตรมาส 2/66 เบื้องต้นประเมิน ดีขึ้น QoQ ตามเงินบาทที่อ่อนค่าจากต้นปี และไม่มีการปิดซ่อมบำรุงเครื่องจักรนอกแผน รวมถึงกลุ่มสินค้า Auto ยังขยายตัว หนุนให้ GPM ดีขึ้น ขณะที่ยังหดตัว YoY ตามอุปสงค์การใช้ SiC ที่ลดลงหลัง Tesla จะลดการใช้ SiC ทำให้มีการปรับเป้าการเติบโตที่ลดลงจากเดิมราว 10-20% และ GPM ที่หดตัวลง

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 ก.ค. 66)

Tags: , , , , ,
Back to Top