สุดทาง! “ปิยบุตร” ชี้ถึงเวลา “ก้าวไกล” ประกาศเป็นฝ่ายค้าน เดินหน้าลุยงานสภา

นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊กตั้งคำถามถึงพรรคก้าวไกล ว่าสถานการณ์ชัดเจนขนาดนี้ ทำไมพรรคก้าวไกล จึงยังไม่ประกาศจุดยืนเป็น “ฝ่ายค้าน” อย่างทรนง และต่อสู้ตามแนวทางของตัวเอง พร้อมแนะให้เดินหน้าผลักดันภารกิจที่ประชาชนมอบหมาย โดยใช้โอกาสและช่องทางเท่าที่พอจะมีอยู่

พรรคก้าวไกล ได้รับเลือกตั้ง 14.4 ล้านเสียง มี สส. 151 คน มาเป็นลำดับที่ 1 พรรคก้าวไกลจึงต้องทำหน้าที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และเสนอให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี ตามอาณัติที่ประชาชนมอบหมายผ่านการเลือกตั้ง

คณะแกนนำของพรรคก้าวไกล ได้ทำหน้าที่นี้อย่างสุดความสามารถ รวบรวมเสียงได้ 312 เสียง แต่ด้วยความผิดปกติของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ให้วุฒิสภาเลือกนายกรัฐมนตรี กระบวนการนิติสงคราม และการสมคบร่วมมือกันของชนชั้นนำทางการเมือง และเศรษฐกิจในระบบทั้งหมด ทำให้พรรคก้าวไกลกลายเป็น “แกะดำ” ไม่สามารถเป็นแกนนำหรือร่วมรัฐบาลได้

พูดง่ายๆ คือ หากรัฐบาลหน้า มีพรรคก้าวไกล ย่อมไม่มีวันได้ใบอนุญาตจัดตั้งรัฐบาล เสียงซุบซิบ ข้อความในการเจรจาในที่ลับ (ที่ไม่เคยเอามาบอกสาธารณชนในที่แจ้ง) สัญญาณและการแสดงออกของทุกพรรคการเมือง และ สว. หลายคน ทั้งหมดนี้เป็นประจักษ์พยานอย่างชัดแจ้ง

“การแสดงออกของพรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย พรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคอื่นๆ ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า ไม่มีก้าวไกล” นายปิยบุตร ระบุ

ขณะเดียวกัน ประชาชนผู้ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศ ทั้งฝ่ายสนับสนุนพรรคก้าวไกล และฝ่ายไม่สนับสนุนพรรคก้าวไกล ต่างก็มองออกว่า พรรคก้าวไกลโดนรุมจากทุกสารทิศจนหมดหนทางได้เป็นรัฐบาลแล้ว ประชาชนที่เลือกพรรคก้าวไกลมา หรือไม่ได้เลือก แต่อยากเห็นพรรคก้าวไกลร่วมรัฐบาล ต่างก็เข้าใจอย่างไม่เต็มใจถึงสถานการณ์นี้ และยอมรับว่าพรรคก้าวไกลได้ทำหน้าที่ของตนเองถึงที่สุด พร้อมทั้งฉีกหน้ากากของชนชั้นนำทางการเมืองและเศรษฐกิจออกมาให้ได้รู้เห็นกันหมดแล้ว

นายปิยบุตร ระบุว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมพรรคก้าวไกลจึงไม่แถลงแสดงจุดยืนเสียทีว่า บัดนี้พรรคก้าวไกลต้องเป็นฝ่ายค้าน และจะทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างดีที่สุด ใช้เสียง 151 เสียง ใช้เสียง 14.4 ล้าน ผลักดันการทำงานในสภาตามแนวนโยบายที่หาเสียง เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติและประชาชน

“ไม่ต้องรับคำร้องขอ ไม่ต้องรับคำเจรจา ไม่ต้องหวังว่าจะมีแสงริบหรี่รำไรให้ได้กลับมาร่วมรัฐบาลอีก ไม่ต้องเล่นเกมชักเย่อ ชิงไหวชิงพริบกับพรรคอื่นๆ ตั้งใจเดินหน้าทำงานในสภาอย่างเต็มที่ ไม่ต้องยุ่งกับเกมการเมือง ชิงไหวชิงพริบเพื่อประโยชน์ส่วนบุคคลของใครทั้งนั้น ปล่อยให้พวกเขาแย่งเศษเนื้อ ชามข้าว กันต่อไป” นายปิยบุตร ระบุ

นายปิยบุตร เห็นว่าพรรคก้าวไกลควรขีดเส้นแบ่งชัดเจนระหว่างเก่า-ใหม่ และอดีต-อนาคต ต่อสู้ตามแนวทางของตนเองต่อไป นำภารกิจที่ประชาชนมอบหมาย เดินหน้าผลักดันตามอำนาจ โอกาสช่องทางที่พอจะมี พร้อมเผชิญหน้ากับภัยจากทุกสารทิศที่จะกระหน่ำเข้ามา หนทางนี้ พรรคก้าวไกลอาจไม่เหลือใคร แต่อย่างน้อยที่สุด ยังมีประชาชนผู้ดุจดังผนังทองแดงกำแพงเหล็ก

“พอได้แล้วกับความคลุมเครือ พอได้แล้วกับการปล่อยให้ สส. แสดงออกกันเอง โดยไม่มีมติพรรคหรือการแถลงการณ์ทางการของพรรค การเล่นบทเหยื่อผู้ถูกรุมกระทำ กระตุ้นให้ประชาชนเห็นใจ และเข้าใจในบางช่วงตอน แต่เมื่อเวลาผ่านไป คนจะเริ่มเบื่อ รำคาญ และรู้สึกว่าอ่อนแอ ไม่ชัด ไม่สู้ ไม่กล้าหาญ กล้าที่จะยอมรับว่าสู้จนสุดทางแล้ว แต่พ่ายแพ้ในเกมนี้ กล้าที่จะยืนกับประชาชน และต่อสู้ต่อไปตามแนวทางของตน การเมืองแบบมวลชนเริ่มต้นแล้ว และจะเด่นชัดมากขึ้น ปล่อยพวกอดีตสู้ในเกมแบบเขาไป แล้ววันหนึ่งพวกเขาจะถูกกวาดหมดจนตกกระดาน เราคือพวกอนาคต ต้องเคียงข้างหรือนำมวลชนไปในเกมใหม่ เป็นผู้นำของพลังแบบใหม่ในสังคมไทย วันนี้ยังแพ้ แต่วันหน้าจะชนะ” นายปิยบุตร ระบุ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 ส.ค. 66)

Tags: , , , ,
Back to Top