JPARK เคาะขาย IPO หุ้นละ 3.80 บาท P/E 23.74 เท่า เปิดจอง 25-27 ก.ย.คาดเทรดต้นต.ค.

บมจ.เจนก้องไกล (JPARK) กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 110 ล้านหุ้น ที่ราคา 3.80 บาท/หุ้น โดยจะเสนอขายต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ไม่น้อยกว่า 82.5 ล้านหุ้น เสนอขายต่อผู้มีอุปการคุณของบริษัท ไม่เกิน 16.5 ล้านหุ้น และเสนอขายบต่อกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทไม่เกิน 11 ล้านหุ้น ระยะเวลาจองซื้อ วันที่ 25-27 ก.ย.66 ผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย คือ บล.ฟินันเซีย ไซรัส โดยมีผู้ร่วมจัดจำหน่าย ได้แก่ บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย), บล.กรุงศรีฯ, บล. ฟิลลิป, บล.โกลเบล็ก และบล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) มีบริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

ทั้งนี้ JPARK คาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ในหมวดธุรกิจบริการ ช่วงต้นเดือน ต.ค.66

บริษัทจะนำเงินที่ได้จากขาย IPO ราว 418 ล้านบาทไปลงทุนขยายโครงการอาคารจอดรถโรงพยาบาลพระนั่งเกล้าจำนวน 6 ชั้น รองรับรถยนต์ได้ 532 คัน และรองรับรถจักรยานยนต์ได้ 72 คัน โดยมีพื้นที่ใช้สอย 18,242 ตารางเมตร พื้นที่พาณิชย์ 2,049 ตารางเมตร คาดว่าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์กลางปี 67 ซึ่งจะสร้างการเติบโตให้กับบริษัทในระยะยาว โดยสัดส่วนรายได้หลักของบริษัทมาจากธุรกิจการให้บริการที่จอดรถ ซึ่งพื้นที่จอดรถของโรงพยาบาลสร้างรายได้ให้กับบริษัทสูงสุด และบริษัทมีแผนจะขยายพื้นที่จอดรถยนต์ในพื้นที่สำนักงาน ซึ่งจะเริ่มต้นเปิดให้บริการในปีหน้าเป็นต้นไป รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ

การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้ พิจารณาจากอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (Price to Earnings Ratio: PER) ทั้งนี้ ราคาหุ้นที่เสนอขายหุ้นละ 3.80 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ (PER) เท่ากับ 23.74 เท่า โดยคำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้นจากผลกำไรสุทธิในช่วง 4 ไตรมาสย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.65 ถึงวันที่ 30 มิ.ย.66 ซึ่งมีกำไรสุทธิ เท่ากับ 64.02 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ ซึ่งเท่ากับ 400 ล้านหุ้น (Fully Diluted) จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้น (Earnings Per Share: EPS) ที่เป็นของบริษัทใหญ่เท่ากับ 0.16 บาทต่อหุ้น

บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการ หลังจากหักเงินสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กฎหมายกำหนดและตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับบริษัท คณะกรรมการบริษัทจะพิจารณาการจ่ายเงินปันผล โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นเป็นหลัก และการจ่ายเงินปันผลนั้นจะต้องไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินงานตามปกติอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ การจ่ายเงินปันผลดังกล่าวอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานและฐานะการเงิน สภาพคล่องทางการเงิน แผนการขยายธุรกิจ ความจำเป็นและความเหมาะสมอื่นใดในอนาคตและปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในการบริหารงานของบริษัทตามที่คณะกรรมการบริษัท และ/หรือผู้ถือหุ้นเห็นสมควร

ทั้งนี้ นายสันติพล เจนวัฒนไพศาล ยินยอมให้หุ้นที่ถืออยู่ 220,000,000 หุ้น คิดเป็น 55.00% ถูกจำกัดการขายภายใน 1 ปี (Silent Period) นับแต่วันที่หุ้นเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ตามข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และยินยอมให้หุ้นส่วนที่เหลือทั้งหมดที่ถืออยู่ 63,555,220 หุ้น คิดเป็น 15.89% ถูกจำกัดการขายภายใน 6 เดือน (Lock-up Period) และ นางสาวจุฑามาศฯ ตกลงและยินยอมให้หุ้นที่ถืออยู่ 6,444,380 หุ้น คิดเป็น 1.61% ถูก Lock-up Period 6 เดือนด้วยความสมัครใจ

สำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกปี 66 บริษัทมีรายได้รวม 254.46 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 61.42 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 31.82% ซึ่งรายได้เพิ่มขึ้นในทุกประเภทธุรกิจหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจให้บริการที่จอดรถ (PS) เพิ่มขึ้น 42.98 ล้านบาท เนื่องจากในช่วง 6 เดือนแรกปี 65 บริษัทยังคงได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด แต่ 6 เดือนแรกของปีนี้ไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว บริษัทมีกำไรขั้นต้น 54.69 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้น 21.57% ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าเล็กน้อยมีสาเหตุมาจากรายการที่ไม่เกิดขึ้นประจำ (Non-recurring Income & One-time Expense)

หากไม่รวมผลกระทบของรายการดังกล่าว อัตรากำไรขั้นต้นหลังปรับค่างวด 6 เดือนแรกปี 66 จะสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เนื่องจากการฟื้นตัวของธุรกิจให้บริการที่จอดรถ (PS) เป็นหลัก สำหรับค่าใช้จ่ายในการบริหาร ต้นทุนทางการเงิน และภาษีเงินได้นิติบุคคล มีจำนวน 20.10 ล้านบาท 2.84 ล้านบาท และ 4.50 ล้านบาท ตามลำดับ ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิ 27.82 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 8.97 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 47.57% และคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 10.97%

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 ก.ย. 66)

Tags: , , , ,
Back to Top