“นีโอ คอร์ปอเรท” ยื่นไฟลิ่งขาย IPO ไม่เกิน 78 ล้านหุ้นเข้า SET ใช้ขยายการผลิต-ลงทุน-คืนหนี้

บมจ.นีโอ คอร์ปอเรท (NEO) ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 78,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) โดยมี บล.ทิสโก้ เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย

บริษัทมีวัตถุประสงค์ในการนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนในครั้งนี้ไปใช้เพื่อลงทุนในโครงการขยายกำลังการผลิตสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน (Household Products) ซึ่งรวมถึงการขยายคลังวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์และระบบบริหารจัดการคลัง, ชำระคืนเงินกู้ที่มีกับสถาบันการเงิน, ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ และ/หรือเพื่อลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจของบริษัท

NEO เป็นผู้ผลิต ทำการตลาด และจำหน่ายสินค้าอุปโภค (Consumer Products) โดยมีกลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน (Household Products) กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล (Personal Care Products) และกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็ก (Baby and Kids Products) โดยผลิตภัณฑ์ที่ประสบความสำเร็จหลายแบรนด์ ได้แก่ แบรนด์ไฟน์ไลน์ (Fineline) แบรนด์ดีนี่ (D-nee) แบรนด์บีไนซ์ (BeNice) แบรนด์เอเวอร์เซ้นส์ (Eversense) แบรนด์ทรอส (TROS) แบรนด์วีไวต์ (Vivite) แบรนด์สมาร์ท (Smart) และ แบรนด์โทมิ (Tomi)

ผลิตภัณฑ์ของบริษัทไม่เพียงเป็นที่ยอมรับด้านคุณภาพจากผู้บริโภคในประเทศ แต่ยังได้รับการยอมรับและเป็นที่นิยมจากผู้บริโภคในต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม โดยรายได้จากการขายไปยังต่างประเทศคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 15% ของรายได้จากการขายทั้งหมดของบริษัทในปี 63 และ งวด 6 เดือนแรกของปี 66

ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 66 บริษัทมีจำนวนรหัสสินค้า (SKUs) ของผลิตภัณฑ์ที่ออกใหม่และจำหน่ายได้ 251 SKUs ตามลำดับ และในปี 67 บริษัทมีแผนที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม ซึ่งเป็นทั้งตลาดที่มีสินค้าอยู่แล้วและ ประเภทผลิตภัณฑ์ (Category) ใหม่ๆ เพื่อรองรับกระแสความต้องการของผู้บริโภค และเพื่อนำเสนอสินค้าที่มีความแปลกใหม่ให้กับผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง

บริษัทมีแผนลงทุนในโครงการขยายกำลังการผลิตสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน และกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจและการขยายกำลังการผลิตในอนาคต โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้างอาคารและระบบคลังสินค้าอัตโนมัติเพิ่มเติม ซึ่งสามารถรองรับการจัดเก็บสินค้าสำเร็จรูปได้เพิ่มเติมประมาณ 10,700 พาเลท คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 4/66 นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนเริ่มลงทุนขยายคลังวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ รวมถึงระบบบริหารจัดการคลังสินค้าซึ่งคาดว่าจะสามารถจัดเก็บวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ได้เพิ่มเติมประมาณ 18,200 พาเลทในปี 70

โครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัท ณ วันที่ 30 ก.ย.66 กลุ่มครอบครัวนายสุทธิเดช ถกลศรี ถือหุ้นรวมกัน 193,628,400 หุ้น หรือคิดเป็น 87.22% กลุ่ม บมจ.เอฟเอ็นเอส โฮลดิ้งส์ (FNS) ถือหุ้น 28,371,600 หุ้น หรือคิดเป็น 12.78% หลัง IPO จะลดสัดส่วนเหลือ 9.46%

นีโอฯ ระบุว่า ด้วยการมีกลุ่มผลิตภัณฑ์ (Product Portfolio) ที่หลากหลายและครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภคและเหมาะสมกับรูปแบบการดำเนินชีวิต (Lifestyle) ในทุกช่วงอายุ ผ่านการสื่อสารทางการตลาดและเข้าถึงผู้บริโภค รวมถึงกิจกรรมทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทมีผลประกอบการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยบริษัทมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นจาก 5,061.72 ล้านบาทในปี 60 เป็น 8,300.69 ล้านบาทในปี 65 คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 10.40% ต่อปี และมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 294.98 ล้านบาทในปี 60 เป็น 568.68 ล้านบาทในปี 65 คิดเป็น CAGR 14.03% ต่อปี

สำหรับผลประกอบการในช่วงปี 63-65 เท่ากับ 6,767.54 ล้านบาท 7,445.23 ล้านบาท และ 8,300.69 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้น 10.01% และ 11.49% ตามลำดับ กำไรขั้นต้นเท่ากับ 2,952.52 ล้านบาท 3,135.45 ล้านบาท และ 3,119.81 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้น 43.63% 42.11% และ 37.58% ตามลำดับ

กำไรสุทธิของบริษัทในปี 64 เท่ากับ 729.03 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 126.56 ล้านบาท จาก 602.47 ล้านบาทในปี 63 คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้น 21.01% โดยอัตรากำไรสุทธิปี 64 เท่ากับ 9.76% เพิ่มขึ้นจาก 8.88% ในปี 63 ส่วนปี 65 มีกำไรสุทธิ 568.68 ล้านบาท ลดลง 160.35 ล้านบาทจากปี 64 คิดเป็นอัตราการลดลง 22% จากค่าใช้จ่ายในการขายและจัดจำหน่ายที่เพิ่มขึ้น

ส่วนงวด 6 เดือนแรกของปี 65-66 มีรายได้ 3,879.56 ล้านบาท และ 4,572.70 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้น 17.87% กำไรสุทธิในงวด 6 เดือนแรกของปีนี้เท่ากับ 339.10 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 172.15 ล้านบาท จาก 166.95 ล้านบาท ในงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้น 103.12%

ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลจากกำไรของบริษัทให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิของงบการเงินเฉพาะกิจการ ภายหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และการจัดสรรทุนสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายที่เกี่ยวข้องและข้อบังคับของบริษัท และภาระผูกพันตามเงื่อนไขของสัญญาทางการเงิน

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 ต.ค. 66)

Tags: , , ,
Back to Top