CryptoShot: บิทคอยน์มาแรง!! พุ่งกว่า 10% แตะ 35,000 ดอลลาร์

ฟ้าเรืองรองอีกครั้งสำหรับชาวคริปโทฯ หลังจากราคาดีดขึ้นมากว่า 10% ตอบรับข่าวดี ETF ฝั่งสหรัฐมีแนวโน้มจะผ่านในเร็ว ๆ นี้ ล่าสุดแอบเห็น iBTC ซึ่งเป็น ticker ของผลิตภัณฑ์ Bitcoin SPOT ETF จากค่าย Blackrock แอบลิสต์ขึ้น DTCC ซึ่งเป็นกระบวนการปกติก่อนจะมีการ approve จาก SEC สหรัฐ งานนี้สายคริปโทฯ กรี๊ดลั่น! เตรียมขี่กระทิงรับ Halving 2024 ไปแบบเต็ม ๆ

หลายคนน่าจะเห็นราคาบิทคอยน์กันแล้วที่ 2-3 วันมานี้ดีดตัวพุ่งแรง โดยเมื่อเช้าวันอังคารที่ 24 ต.ค.ทำราคาแตะ 35,000 ดอลลาร์ คิดเป็นเงินบาทอยู่ที่ประมาณ 1,200,000 บาท ไปเป็นที่เรียบร้อย และจากสถิติที่ผ่านมา ทุกสิ้นเดือนตุลาคม ราคาบิทคอยน์ก็มักจะปิดบวกเสมอ สำหรับตุลาคมปีนี้ดูแล้วก็พอมีโอกาสอยู่เหมือนกัน

แล้วสาเหตุที่ราคาดีดขึ้นแรงเกิดจากอะไรกันแน่?? นายอภินัทธ์ เดชดอนบม และนายอรุณ รุ่งโรจน์สุนทร นักวิเคราะห์ จากบริษัท คริปโตมายด์ แอดไวเซอรี่ จำกัด ผู้ประกอบธุรกิจที่ปรึกษาสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ออกมาเปิดเผยถึงสาเหตุที่ราคาบิทคอยน์ดีดตัวแรงว่ามาจากแนวโน้มการอนุมัติ Bitcoin SPOT ETF ของ BlackRock ภายใต้แบรนด์ iShare บริษัทจัดการการลงทุนที่มีมูลค่าสินทรัพย์ ภายใต้การบริหารอยู่กว่า 9.1 ล้านล้านดอลลาร์ มูลค่าสูงกว่า GDP ของประเทศญี่ปุ่นและเยอรมันรวมกัน ซึ่งโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้รับการอนุมัติก็มีมากเลยทีเดียว

แถมช่วงเช้ามืดวันอังคารที่ผ่านมา นักวิเคราะห์ ETF ชื่อดังอย่าง Eric Balchunas ออกมาโพสต์ผ่าน X ว่าเห็น iShares Bitcoin Trust ที่เป็น Bitcoin Spot ETF ของ BlackRock ถูกลิสต์อยู่บน Depository Trust & Clearing Corporation (DTCC) ที่เป็นผู้จัดการการซื้อขายบนตลาด Nasdaq โดยมี Ticker เป็น IBTC ซึ่งสิ่งนี้ก็แสดงให้เห็นถึงสัญญาณที่ดีว่า Bitcoin Spot ETF จะได้รับการอนุมัติในอนาคตอันใกล้นี้

แต่ใครที่กำลังมองหาจังหวะจะเข้า ควรดูให้ดี ๆ ก่อน

*Lightning Network อาจพบจุดจบ หลังค้นพบช่องโหว่ร้ายแรง

เรื่องของเงิน ๆ ทอง ๆ โดยเฉพาะสกุลเงินดิจิทัล ความปลอดภัยเป็นสิ่งที่ไม่สามารถละเลยได้เลย ล่าสุดก็มีข่าวที่ส่งผลกระทบกับวงการคริปโทฯ อย่างมาก นั่นคือ นักพัฒนา Bitcoin ชื่อดัง Antoine Riard ได้ประกาศออกจากโปรเจ็คต์ Lightning Network ซึ่งเป็นโปรเจ็คต์ที่มีเป้าหมายในการทำให้ธุรกรรมของ Bitcoin สามารถดำเนินการได้เร็วขึ้น และลดค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมลง หลังจากที่เขาค้นพบช่องโหว่ร้ายแรงในเครือข่ายนี้

จากการเปิดเผยของ Riard ช่องโหว่ที่เรียกว่า “replacement cycling attacks” นี้สามารถทำให้ผู้ใช้งานสูญเสียเงินของตัวเองได้ เนื่องจากความไม่ตรงกันของข้อมูลในแต่ละ node ของ Lightning Network ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาตัดสินใจที่จะลาออกจากโปรเจ็คต์นี้ และย้ำให้วงการและชุมชน Bitcoin ต้องมีการสนับสนุนการแก้ไขปัญหา รวมไปถึงความโปร่งใส โดยคาดว่าจะต้องมีการปรับเปลี่ยนที่ระดับ base-layer ของ Bitcoin Network กันเลยทีเดียว ถึงจะแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างถาวร

เรียกได้ว่าหากไม่มีนักพัฒนามารับช่วงต่อ หรือเครือข่าย Bitcoin หลักไม่ยอมช่วยปรับปรุงแก้ไข ก็เรียกได้ว่า ปัญหานี้คงต้องเป็นจุดจบของ “Lightning Network” นี้เป็นแน่แท้

ในส่วนผู้เชี่ยวชาญด้านบิทคอยน์อย่าง อ. ตั๊ม พิริยะ ก็มีการออกมาให้ความคิดเห็นที่ค่อนข้างตรงไป ตรงมาว่าปัญหานี้มันเกิดขึ้นกับผู้รันโหนด (Node) ที่รันไม่เป็นเท่านั้น ไม่ได้กระทบต่อผู้ใช้งานเลย

ใครที่ใช้ Lightning Network แล้วเป็นยังไงกันบ้าง มาแชร์กัน!!

*อนาคตที่โปร่งใส! Tether ตั้งใจเผยแพร่ข้อมูลสำรองแบบ real-time ตั้งแต่ปี 2024

ในโลกคริปโทฯ เหรียญ Stablecoin ถือเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าคงที่ตามสกุลเงินจริง อย่าง USDT หรือ Tether ที่มีมูลค่าตรงหรือเท่ากันกับเงินดอลลาร์สหรัฐ (ถูกตรึงมูลค่าให้เท่ากับ 1 ดอลลาร์) แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเหรียญ Tether มีมูลค่าจริง ๆ หรือเปล่า??

มาวันนี้ Tether ได้ประกาศแผนใหญ่ที่จะเริ่มเผยแพร่ข้อมูลสำรองของตนแบบ real-time ตั้งแต่ปี 2024 ขึ้นไป เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและเพิ่มความไว้วางใจให้กับผู้ใช้งาน

ตามที่นาย Paolo Ardoino, CTO ที่จะดำรงตำแหน่งในอนาคต ได้มีการแถลงว่า “การเผยแพร่ข้อมูลสำรองแบบ real-time นี้ จะช่วยสร้างความโปร่งใสและเพิ่มความไว้วางใจของตลาดต่อ Tether มากขึ้น และตอนนี้ Tether มีการเผยแพร่ข้อมูลสำรองทุกวัน และยังมีการออกรายงานสำรองทุก ๆ เดือนและทุกไตรมาส โดยในไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมา มีเงินสำรองเกินขึ้นมาถึง 3.3 พันล้านดอลลาร์ เลยทีเดียว”

แต่ก็ยังคงมีข้อกังขาอยู่เพราะในปี 2021 Tether ได้เสียค่าปรับแก่ CFTC ที่สหรัฐอเมริกาถึง 41 ล้านดอลลาร์ เนื่องจากไม่โปร่งใสในเรื่องของการเผยแพร่ข้อมูลสำรอง

การตัดสินใจครั้งนี้ของ Tether ครั้งนี้อาจไม่ใช่แค่ตอบโจทย์ตลาดเท่านั้น แต่ยังเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตอีกด้วย

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (26 ต.ค. 66)

Tags: , , , , , ,
Back to Top