ตลาดคนไข้ต่างชาติรพ.เอกชนปี 67 โตชะลอ หลายปัจจัยกดดันกำลังซื้อ-แข่งขันสูง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ในช่วงที่เหลือของปี 66 ต่อเนื่องถึงปี 67 รายได้คนไข้ต่างชาติ ซึ่งรวมคนไข้ต่างชาติที่ทำงานในไทย (EXPAT) และคนไข้ที่เดินทางจากต่างประเทศเข้ามารับการรักษา (Fly-in/ Medical Tourism) ของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) น่าจะเติบโตชะลอลง ส่วนหนึ่งเป็นผลของการทยอยปรับฐานสู่สถานการณ์ก่อนโควิด-19 และภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัว กระทบต่อกำลังซื้อของคนไข้ต่างชาติบางส่วน

ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงคาดว่า รายได้คนไข้ต่างชาติรวมของโรงพยาบาลเอกชนในปี 67 น่าจะอยู่ที่ประมาณ 5.7 หมื่นล้านบาท ขยายตัวราว 8.0-10.0% (YoY) เติบโตชะลอลงเมื่อเทียบกับปี 65-66 ที่ขยายตัวได้ดี ซึ่งเป็นการปรับฐานสู่สถานการณ์ก่อนโควิด-19

ทั้งนี้ ในระยะข้างหน้า ยังต้องติดตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ ประกอบกับนโยบายดึงดูดนักท่องเที่ยวและการลงทุนจากต่างชาติของรัฐบาล ซึ่งจะส่งผลต่อรายได้และจำนวนคนไข้ต่างชาติในปี 67

อย่างไรก็ดี มองว่า รายได้จากคนไข้ Fly-in น่าจะทยอยฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไปและน่าจะมีสัดส่วนรายได้ในปี 67 ราว 49% ของรายได้คนไข้ต่างชาติรวม ขณะที่สัดส่วนรายได้คนไข้ EXPAT จะอยู่ที่ 51% ของรายได้คนไข้ต่างชาติรวม

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า จำนวนคนไข้ต่างชาติจะอยู่ที่ราว 3.07 ล้านคน/ครั้ง ซึ่งทยอยฟื้นตัวต่อเนื่องจากช่วงโควิด-19 แต่ยังให้ภาพการเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากยังมีปัจจัยกดดันกำลังซื้อและการตัดสินใจเดินทาง

โดยตลาดคนไข้ Fly-in ในปี 67 ยังมีคนไข้หลัก 2 กลุ่ม ได้แก่ 1. ชาวตะวันออกกลางที่มีความจำเป็นทางการแพทย์ และ 2. คนไข้ในอาเซียน นอกจากชาวกัมพูชาและเมียนมากลุ่มที่มีกำลังซื้อแล้ว ยังมีคนไข้เวียดนามและอินโดนีเซียที่เป็นตลาดขนาดใหญ่

สำหรับการกลับมาของคนไข้จีนนั้น ยังต้องติดตามประเด็นความเชื่อมั่นในการเดินทางและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่อาจส่งผลให้นักท่องเที่ยวบางส่วนชะลอการเดินทางไปต่างประเทศ ส่วนคนไข้ EXPAT เดินทางกลับเข้ามาหลังโควิด-19 คลี่คลาย และมีโอกาสเติบโตในพื้นที่เศรษฐกิจ อย่างชลบุรี ระยอง สมุทรปราการ

ทั้งนี้ ต้องติดตามผลของนโยบายดึงดูดการลงทุน และการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของภาครัฐ จะมีผลต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุนของธุรกิจต่างชาติ และส่งผลต่อจำนวนคนไข้ EXPAT ในอนาคต

นอกจากปัจจัยกดดันการเดินทางมารักษาพยาบาล มองไปข้างหน้า โรงพยาบาลเอกชนยังมีการแข่งขันสูง จากทั้งผู้เล่นรายใหม่ในประเทศที่ขยายธุรกิจสู่บริการทางการแพทย์มากขึ้น และการแข่งขันกับ Medical Hub ในภูมิภาคอย่างมาเลเซีย และสิงคโปร์

อย่างไรก็ตาม ไทยมีการยกระดับบริการทางการแพทย์อย่างต่อเนื่องและมีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับ อีกทั้งมีข้อได้เปรียบด้านค่ารักษาพยาบาลที่แข่งขันได้ นอกจากนี้ ธุรกิจยังมีความท้าทายในการบริหารจัดการต้นทุนที่ยังยืนตัวสูง ซึ่งจะส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจ ความสามารถการทำกำไรของผู้ประกอบการแต่ละรายในระดับที่แตกต่างกัน

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (27 ต.ค. 66)

Tags: ,
Back to Top