ไทยสานสัมพันธ์รับความร่วมมือลงทุน 4 ด้านจากมณฑลเจ้อเจียง

น.สพ.ชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ ให้การต้อนรับและหารือ นายอี้ เลี่ยนหง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำมณฑลเจ้อเจียง ซึ่งเดินทางเยือนไทยเป็นครั้งแรก เพื่อกระชับความสัมพันธ์ไทย-จีน และเพิ่มพูนความร่วมมือโดยเฉพาะทางเศรษฐกิจในความร่วมมือระดับมณฑล

โดยนักลงทุนจากมณฑลเจ้อเจียงเข้ามาลงทุนอันดับต้นๆ ในพื้นที่ EEC สาขา e-Commerce โลจิสติกส์ พลังงานใหม่ และขยายความร่วมมือผ่านนิคมอุตสาหกรรมไทย-จีนที่จังหวัดระยอง ซึ่งมณฑลเจ้อเจียงมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาคุณภาพสูง มีเศรษฐกิจภาคเอกชนที่แข็งแกร่ง ทั้งเป็น Hub ด้านดิจิทัล โดยเฉพาะเมืองหางโจว ตลอดจนบูรณาการเขตเศรษฐกิจสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซี (Yangtze River Delta: YRD)

ทั้งสองฝ่ายพร้อมยกระดับความร่วมมือ 4 ด้านหลัก ได้แก่ 1) เศรษฐกิจ การค้า การลงทุน 2) ดิจิทัล วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม และความร่วมมือทางวิชาการ 3) การพัฒนาที่ยั่งยืน รถยนต์พลังงานไฟฟ้า และส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว และ 4) การส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์และการท่องเที่ยวระหว่างกัน

ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ภายใต้ทีมประเทศไทย จะพัฒนาความร่วมมือกับมณฑลเจ้อเจียงในระยะต่อไป โดยจะดำเนินการผ่านกลไก 3 ประการ ได้แก่

1.การประชุมคณะทำงานไทย-มณฑลเจ้อเจียง ซึ่งฝ่ายไทยขับเคลื่อนโดยสถานกงสุลใหญ่ ณ นครเซี่ยงไฮ้

2.การจัดทำ MOU เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศกับกรมพาณิชย์ เจ้อเจียง โดยเฉพาะประเด็นด้านการค้าบริการดิจิทัล ในฐานะที่เจ้อเจียงเป็นฮับด้านดิจิทัลของจีน

3.การจัดทำ MOU เพื่อส่งเสริมความร่วมมือและความเชื่อมโยงทางยุทธศาสตร์ระหว่าง EEC ของไทยกับเขตเศรษฐกิจสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซี (Yangtze River Delta: YRD) ของจีนต่อไป

นอกจากนี้ มณฑลเจ้อเจียงยังมีความสนใจที่จะจับมือเป็นบ้านพี่เมืองน้องกับจังหวัดระยองและจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งรองนายกฯ ได้ประสานเบื้องต้นไปยังกระทรวงมหาดไทยแล้ว โดยคาดว่าจะมีความร่วมมือที่ดีของบ้านพี่เมืองน้องในเร็ววันนี้ พร้อมกันนี้เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน ประจำมณฑลเจ้อเจียงได้เชิญรีองนายกฯ และคณะเยือนมณฑลเจ้อเจียง เพื่อกระชับความร่วมมือระหว่างกันให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจการค้าของประเทศไทยอย่างมาก

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 พ.ย. 66)

Tags: , , ,
Back to Top