“ดีลอยท์” ชี้อย่ากลัวการ disrupt จาก AI ถ้ารู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์

บริษัท ดีลอยท์ ประเทศไทย มองว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2567 ยังคงฟื้นตัวได้ช้า และเติบโตต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ปรับลดการคาดการณ์ตัวเลข GDP ปี 2566 และ 2567 เหลือ 2.4% และ 3.2% ตามลำดับ แต่หากรวมโครงการ Digital wallet อาจส่งผลให้ GDP ปี 2567 อาจเพิ่มสูงขึ้นถึง 3.8% ได้

หนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่ส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัว คือ ปัญหาหนี้ครัวเรือน โดยข้อมูลจาก ธปท. ระบุว่า ประเทศไทยประสบปัญหาหนี้ครัวเรือนสูงถึง 90.9% ต่อ GDP ในไตรมาส 3 ปี 2566 คิดเป็นมูลค่า 16.2 ล้านล้านบาท ส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคเปราะบางลง

อย่างไรก็ดี การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2567 จะยังคงมีการบริโภคจากภาคเอกชน และการท่องเที่ยว เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก โดยการลงทุนภาคเอกชน จะมีส่วนช่วยส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจมากขึ้น เช่น การลงทุนเพิ่มหรือเปิดโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีนในไทย

พร้อมกันนี้ ดีลอยท์ ยังวิเคราะห์ถึงเทคโนโลยีเกิดใหม่ในปี 2567 ว่า เมื่อเร็วๆ นี้ เราได้เห็นเทรนด์การประมวลผลแบบเร่งความเร็ว (Accelerated Computing) ซึ่งขับเคลื่อนความก้าวหน้าในเทคโนโลยี AI อย่างมหาศาล และแสดงศักยภาพการทำงานเต็มรูปแบบที่องค์กรต่างๆ ต้องเรียนรู้วิธีใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ AI จะช่วยเพิ่มผลผลิตของบริษัท ปรับปรุงผลิตภัณฑ์และรูปแบบธุรกิจ และส่งผลโดยตรงต่อเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม

 

เปรียบ AI เหมือนผู้ช่วย

สิ่งสำคัญคือ เราต้องมองว่า AI เป็นเพื่อนร่วมงาน ที่จะช่วยยกระดับประสิทธิภาพการทำงานให้ดียิ่งขึ้น AI เปรียบเหมือน “ผู้ช่วยนักบิน” ที่ไม่เพียงทำหน้าที่ช่วยทำงานด้วยระบบอัตโนมัติ แต่ยังสามารถทำงานระดับพื้นฐาน และซ้ำๆ ปริมาณมากได้อีกด้วย เช่น การรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ

“ดีลอยท์ เรียกยุคนี้ว่า The Age of With ซึ่งเป็นยุคที่มนุษย์และปัญญาประดิษฐ์ทำงานร่วมกัน เพื่อเป้าหมายความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่า” บทวิเคราะห์ ระบุ

การเกิดขึ้นและการพัฒนาอย่างรวดเร็วของ Generative AI ยังได้ปลดล็อกให้มีการใช้ประโยชน์จากแอปพลิเคชันในตลาดใหม่ๆ มากมาย และส่งผลให้ผลิตภาพสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในปีที่ผ่านมา เราได้เห็นความสามารถเหนือความคาดหมายของ Generative AI หรือ GenAI อย่าง ChatGPT ซึ่งใช้ฐานข้อมูลจาก GPT3 และปัจจุบันมีการใช้ GPT4 แล้ว ความแตกต่างที่สำคัญไม่เพียงแต่ปริมาณข้อมูลที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ประเภทของข้อมูลที่นำเข้า หรือสร้างข้อมูลใหม่ออกมาได้รับการพัฒนาอย่างมาก จากเดิมรองรับข้อความเป็นตัวอักษรเท่านั้น

ปัจจุบัน เราสามารถใช้ภาพ หรือเสียง เป็นข้อมูลนำเข้าใน GenAI ได้ อย่างที่เห็นได้ชัดจาก Google Gemini นอกจากนี้ ยังสามารถสร้างข้อมูลให้กับผู้ใช้ได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นข้อความ รูปภาพ หรือคลิปวิดีโอต่างๆ AI จะเปลี่ยนรูปแบบการทำงานในอนาคตไปหลากหลายรูปแบบ โดยเริ่มตั้งแต่แรงงานคน จากเดิมที่ไอคิว (IQ) เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จในการทำงานเมื่อปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามามีบทบาททำงานแทนมนุษย์ได้ ตัวชี้วัดความสำเร็จจะเปลี่ยนเป็นอีคิว (EQ) มุมมองทัศนคติ และ soft skill ทุกคนจำเป็นต้องพัฒนาตัวเอง เพื่อเรียนรู้การใช้ประโยชน์จาก AI

“อาจกล่าวได้ว่า เราอาจจะไม่ตกงาน เพราะ AI แต่คนที่รู้จักใช้ประโยชน์จาก AI ต่างหาก ที่จะมาชิงตำแหน่งงานของเราไป”

จากผลสำรวจ CEO Survey ที่ Deloitte ทำร่วมกับ Fortune magazine เมื่อเดือนมิ.ย. และ ต.ค.ปี 66 พบว่า Generative AI ถูกนำไปใช้ในหลากหลายรูปแบบ เช่น เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานแบบอัตโนมัติ ลดต้นทุนการดำเนินงานของธุรกิจ และค้นหาแนวคิดหรือข้อมูลเชิงลึกใหม่ ๆ รวมถึงเร่งการเกิดนวัตกรรมใหม่ๆ อีกด้วย

นอกจากนี้ บทความล่าสุดของดีลอยท์ เกี่ยวกับ AI ชื่อว่า The Generative AI Dossier ได้นำเสนอแนวโน้มการใช้งานและประยุกต์ใช้ที่น่าสนใจในหลากหลายอุตสาหกรรม ซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ และเร่งกระบวนการพัฒนานวัตกรรมทางธุรกิจ และพบว่ามีการพิจารณานำ AI ไปใช้หลากหลายรูปแบบ ได้แก่ การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของนักพัฒนา การตรวจจับการทุจริต การปรับปรุงระบบบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน โรงงานอัจฉริยะ และอื่น ๆ ซึ่งคาดว่าจะก่อให้เกิดประโยชน์เป็นอย่างมาก

เมื่อ Generative AI มีวิวัฒนาการที่ดีขึ้น ประเด็นด้านจริยธรรม กฎหมาย และนโยบายเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณา เมื่อถูกนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ ดีลอยท์มุ่งมั่นที่จะใช้ Generative AI อย่างปลอดภัยและรับผิดชอบต่อสังคม โดยยึดหลักกรอบการทำงาน Trustworthy AI ซึ่งช่วยพัฒนาแนวทางป้องกันที่จำเป็น พร้อมกันกับการให้ความสำคัญทางจริยธรรม ระหว่างการพัฒนาและดำเนินงานผลิตภัณฑ์

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 ม.ค. 67)

Tags: , , , , ,
Back to Top