SCB EIC คาดปีนี้ได้เห็นกนง.ลดดอกเบี้ย หลังโมเมนตัมศก.ไทย-เงินเฟ้อแผ่ว

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ประเมินภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้ โดยมองว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงต้นปี ยังมีแรงส่งจากการบริโภคภาคเอกชนที่มีแนวโน้มขยายตัวดี ตามการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่เร่งตัวจากนักท่องเที่ยวจีนเป็นหลัก โดยเฉพาะเดือนก.พ. ที่ได้อานิสงส์จากเทศกาลตรุษจีน รวมถึงนักท่องเที่ยวหลายประเทศกลับมาใกล้เคียงระดับปกติ

สำหรับการท่องเที่ยวในประเทศ ผู้เยี่ยมเยือนไทยยังเติบโตได้ดีต่อเนื่องตามฤดูกาลท่องเที่ยว ขณะที่การส่งออกไตรมาส 4/66 พลิกกลับมาขยายตัว และมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นตามทิศทางการค้าโลกที่ฟื้นตัว ท่ามกลางความเสี่ยงใหม่จากการชะงักของห่วงโซ่อุปทานโลก

อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยด้านอุปทานยังอ่อนแอ โดยเฉพาะภาคการผลิตที่หดตัวต่อเนื่องในหลายอุตสาหกรรม และยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัวชัดเจน ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันให้ข้อมูลจริงของเศรษฐกิจไทยปี 66 จะออกมาขยายตัวต่ำกว่าที่ SCB EIC เคยคาดการณ์ไว้ และมีแนวโน้มฟื้นตัวช้าในระยะต่อไป

โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) ติดลบตั้งแต่ไตรมาส 4/66 ถึงต้นปี 67 ส่วนใหญ่เป็นผลจากราคาพลังงานที่ลดลง ตามมาตรการช่วยค่าพลังงานของภาครัฐ ทั้งนี้ SCB EIC ประเมินไทยยังไม่เผชิญภาวะเงินฝืด เนื่องจากเงินเฟ้อติดลบไม่ได้กระจายไปในรายสินค้าเป็นวงกว้าง และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ยังเป็นบวก

มองไปข้างหน้า เงินเฟ้อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และคาดว่าจะกลับมาขยายตัวได้ในช่วงไตรมาส 2 จากแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปทานเป็นหลัก ประกอบกับภาครัฐอาจทยอยปรับลดความช่วยเหลือด้านพลังงานในไตรมาส 2 หลังราคาพลังงานโลกปรับลดลง และกองทุนน้ำมันเริ่มมีภาระหนี้สูงขึ้นมาก

พร้อมกันนี้ SCB EIC ยังคาดว่าจะเห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ จากสาเหตุ ดังนี้

1. เศรษฐกิจและเงินเฟ้อแผ่วลงมากในปีนี้ เช่น หากเศรษฐกิจไทยเติบโตเหลือ 2.5% และแนวโน้มเงินเฟ้อต่ำกว่ากรอบ 1-3% มาก

2. คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่สอดคล้องกับศักยภาพการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (Neutral rate) ที่ต่ำลงจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง ควรมีระดับต่ำลงกว่าที่เคยประเมินเอาไว้ สะท้อนจากมติ กนง. ไม่เป็นเอกฉันท์ในผลการประชุมวันที่ 7 ก.พ. 67 ที่เริ่มคำนึงถึงประเด็นนี้

สำหรับเงินบาทอ่อนค่าเร็วในช่วงต้นปี แต่แรงกดดันเงินบาทอ่อนค่า จะเริ่มลดลง เนื่องจากตลาด Price out การลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ออกไปมากแล้ว และแรงกดดันด้านอ่อนค่าของสกุลเงินหลักในภูมิภาคจะลดลง ทั้งนี้ ยังคงมุมมองเงินบาทจะทยอยแข็งค่าได้สู่ระดับ 32.50-33.50 บาท/ดอลลาร์ ณ สิ้นปีนี้

นอกจากนี้ SCB EIC ยังมองภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปี 67 ว่า มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง แม้จะได้รับผลกระทบจากนโยบายการเงินที่ตึงตัว เนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจโลกช่วงต้นปีขยายตัวได้ดี โดยภาคบริการขยายตัวดีขึ้น ขณะที่ภาคการผลิตเริ่มทรงตัวหลังจากหดตัวนานปีกว่า

อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจโลกยังต้องเผชิญความไม่แน่นอนรอบด้าน โดยในปีนี้จะมีการเลือกตั้งใหญ่ในกว่า 60 ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจรวมสูงกว่า 60% ของโลก ซึ่งอาจมีนัยต่อความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์โลก

นอกจากนี้ การค้าและห่วงโซ่อุปทานโลก เผชิญความเสี่ยงจากการโจมตีเรือขนส่งสินค้าในบริเวณทะเลแดง และปัญหาน้ำแล้งในคลองปานามา ส่งผลให้เกิดความแออัดในการขนส่งทางเรือ หรือต้องปรับเส้นทางเดินเรือ ทำให้ระยะเวลาการเดินทางและต้นทุนขนส่งสูงขึ้น

ขณะที่ธนาคารกลางกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลัก จะเริ่มปรับทิศการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงไตรมาส 2 โดยประเมินว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Fed), ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในไตรมาส 2 ตามทิศทางเงินเฟ้อที่เริ่มชะลอลง ด้านธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีแนวโน้มยุตินโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบ (Negative interest rate) ในไตรมาส 3 (หรืออย่างเร็วไตรมาส 2) ขณะที่ธนาคารกลางจีน (PBOC) ยังมีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อเนื่อง ผ่านการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และอัตราส่วนการสำรองของธนาคารพาณิชย์ขั้นต่ำ (RRR)

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16 ก.พ. 67)

Tags: , , ,
Back to Top