PTTGC หวังปีนี้กลับมาโต 7-10% ลุ้นเศรษฐกิจโลกพลิกฟื้น เข้มกลยุทธ์ 3 Steps Plus ศึกษาธุรกิจใหม่

นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าปริมาณขายปี 67 จะกลับมาเติบโต 7-10% หลังจากปี 66 มีรายได้จากการขาย 6.17 แสนล้านบาท หดตัว 9% โดยคาดว่าปีนี้กำลังการผลิตปิโตรเคมีดีขึ้นหลังจากปี 65 ปิดซ่อมบำรุงใหญ่ไปแล้ว ขณะที่ธุรกิจ allnex คาดปริมาณการขายดีขึ้น 10% ตามการฟื้นตัวของกลุ่ม Automotive

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มธุรกิจโรงกลั่นและธุรกิจปิโตรเคมีในไตรมาส 1/67 ยังทรงตัว เนื่องจากดีมานด์ยังมีความไม่แน่นอน แต่คาดว่าตั้งแต่ไตรมาส 2/67 เป็นต้นไปน่าจะเติบโตได้ดีขึ้น ขณะที่มาร์จิ้นในผลิตภัณฑ์โพลิเอทิลีน และ allnex จะฟื้นตัวได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับธุรกิจโรงกลั่นที่ปีนี้มาร์จิ้นอาจลดลงบ้างตามปริมาณซัพพลายที่ออกมามาก

บริษัทได้วางงบลงทุนปีนี้ราว 100-150 ล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็นการลงทุนในบริษัทย่อยและเพิ่มประสิทธิภาพของธุรกิจ allnex เพื่อเพิ่ม EBITDA ในระยะกลาง

“เศรษฐกิจโลกมีความท้าทายต่อเนื่องจากปีที่แล้ว โดยมาร์จิ้นปิโตรเคมีต่ำสุดในรอบ 30 ปี จากปัญหาซัพพลายล้นตลาด ดีมานด์หายจากเศรษฐกิจชะลอตัว แต่ตลาดปิโตรเคมีน่าจะฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังปี 67”

นายคงกระพัน กล่าว่า แนวโน้มตลาดปิโตรเคมี หากดูจากปริมาณซัพพลายปีนี้เชื่อว่าจะดีกว่าปี 66 แต่อาจจะยังไม่ดีเท่าปีที่เติบโตสูงสุด เพราะน่าจะยัง Over Supply อยู่บ้าง ขณะที่ดีมานด์ปิโตรเคมีของตลาดโลกเชื่อมโยงกับการปริมาณการใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ อาทิ ก่อสร้าง รถยนต์ ดังนั้น หากเศรษฐกิจจีนและเศรษฐกิจโลกดีขึ้นก็ทำให้มาร์จิ้นหรือภาพรวมของปิโตรเคมีดีขึ้นด้วย

บริษัทคาดการณ์แนวโน้มราคาน้ำมันดิบดูไบในปี 67 อยู่ที่เฉลี่ย 75-85 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมของโรงกลั่นคาดว่าสถานการณ์ราคาและส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์มีแนวโน้มอ่อนตัวลงจากปีก่อน คาดส่วนต่างราคาดีเซลกับน้ำมันดิบเฉลี่ยที่ 15-19 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่วนต่างราคาน้ำมันเตากำมะถันต่ำอยู่ที่ 9-12เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่วนต่างราคาแก๊ซโซลีนเฉลี่ยอยู่ที่ 14-18 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล คาดอัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงกลั่นอยู่ที่ 101%

ด้านผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีของโรงอะโรเมติกส์ คาดว่าส่วนต่างของผลิตภัณฑ์พาราไซลีนกับแนฟทาจะลดลงมาอยู่ที่ 370-390เหรียญสหรัฐ/ตัน ส่วนต่างของราคาเบนซีนและแนฟทาจะอยู่ที่ 240-260 เหรียญสหรัฐ/ตันใกล้เคียงปีก่อน อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงอะโรเมติกส์อยู่ที่ 94%

ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีของโรงโอเลฟินส์ คาดว่าราคาผลิตภัณฑ์เอทิลีนจะอยู่ที่ 910-940 เหรียญสหรัฐ/ตัน ราคาผลิตภัณฑ์โพรพิลีนจะอยู่ที่ 900-930 เหรียญสหรัฐ/ตัน เพิ่มขึ้นจากปี 66 คาดการณ์อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงโอเลฟินส์ปีนี้ที่ 92% ขณะที่กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นกลาง คาดว่าส่วนต่างของผลิตภัณฑ์ฟีนอล (P2F) จะอยู่ที่ 210-230 เหรียญสหรัฐ/ตัน ลดลงจากปีก่อน ปัจจัยกดดันจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวตัวในช่วงครึ่งปีแรก และจะค่อยๆมีทิศทางดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง แต่มีกำลังการผลิตใหม่ในจีนเป็นปัจจัยกดดัน

ส่วนผลิตภัณฑ์โมโนเอทิลีนไกลคอล (MEG) บริษัทฯ คาดว่าราคา MEG จะอยู่ที่ 540-560 เหรียญสหรัฐ/ตัน โดยมีแนวโน้มปรับเพิ่มสูงขึ้น โดยด้านอุปสงค์คาดการณ์จะค่อยๆ มีการฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลัง และแนวโน้มสถานการณ์ตลาดเม็ดพลาสติกโพลิเอทิลีนคาดว่าราคาเฉลี่ยเม็ดพลาสติก HDPE จะอยู่ที่ 1,050-1,080 เหรียญสหรัฐ/ตัน เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี 66

*เพิ่มความเข้มข้นกลยุทธ์ 3 Steps Plus-ลุยศึกษาธุรกิจใหม่ไฮโดรเจนและคาร์บอน

สำหรับทิศทางการดำเนินงานของ PTTGC ในปี 67 ได้มีการทบทวนกลยุทธ์ 3 Steps Plus : Step Change, Step Out, Step Up ที่ดำเนินมาอย่างถูกทางแล้ว ให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้น และปรับให้สอดคล้องกับ Industry Landscape ที่เปลี่ยนแปลงไป

Step Change: สร้างรากฐานแข็งแกร่ง ด้วยการปรับปรุงประสิทธิภาพ การควบคุมค่าใช้จ่าย และ การพัฒนาความร่วมมือในมิติต่างๆ รวมถึงมุ่งเน้นการเติบโตทางธุรกิจที่เน้นตลาด (Market-Focused Business) โดยการเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกและเคมีภัณฑ์มูลค่าสูง (High Value Products: HVP) มีเป้าหมาย 56% ในปี 2571 และผลิตภัณฑ์นวัตกรรม

Step Out: แสวงหาโอกาสใหม่เพื่อสร้างการเติบโต และดูแลด้านต้นทุนของ allnex พร้อมขยายตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพและผลิตภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน (Bio & Circularity) มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์รีไซเคิล รวมถึง Bio-Refinery โดยผลิตภัณฑ์ที่ได้สามารถนำไปผลิตผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องต่างๆ ได้มากมาย ทั้งในอุตสาหกรรมสุขอนามัยส่วนบุคคล อุตสาหกรรมยา อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมเคมีชีวภาพ และอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ ฯลฯ

Step Up: สร้างความยั่งยืนทางธุรกิจ โดยดำเนินงานด้าน Decarbonization ให้เป็นไปตามเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2593 รวมถึงมุ่งมั่นรักษาความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง

บริษัทยังวางแผนปรับโครงสร้างธุรกิจ โดยการหาพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ และ Non-Core Business นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างศึกษาธุรกิจใหม่เกี่ยวกับไฮโดรเจนและคาร์บอน โดยใช้จุดแข็งและความเชี่ยวชาญที่บริษัทมีในธุรกิจไฮโดรคาร์บอน สร้างความแตกต่างและผลตอบแทนทางธุรกิจในอนาคต มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ที่ได้วางไว้

โดยที่ผ่านมา PTTGC ได้มีการลงนามความร่วมมือศึกษาเทคโนโลยีการพัฒนาโรงงานปิโตรเคมีระหว่างบริษัทกับ บริษัท มิตซูบิชิ ฮีวี่ อินดัสทรี เอเชียแปซิฟิก จำกัด (MHI-AP) โดยมี 2 เป้าหมายหลัก ได้แก่ ศึกษาเพื่อเปรียบเทียบความเป็นไปได้ในการใช้ไฮโดรเจนและแอมโมเนีย เป็นเชื้อเพลิงสำหรับกังหันแก๊ส (Gas Turbine) และเทคโนโลยีการดักจับ จัดเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS) ในกระบวนการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากเครื่องกำเนิดไฟฟ้า และศึกษาหาแนวทางการปรับปรุง เพิ่มประสิทธิภาพในระบบดักจับ จัดเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เหมาะสมสำหรับกระบวนการผลิตไฮโดรเจน หรือ Steam Methane Reforming (SMR)

จากการเป็นผู้ดำเนินธุรกิจเคมีภัณฑ์ระดับสากลที่ยืนหนึ่งด้านความยั่งยืนของ GC ในปี 67 นี้บริษัทจึงต่อยอดแนวคิด “ดีขึ้นเพื่อคุณ ดีขึ้นเพื่อโลก” พร้อมชวนทุกคนมาเป็น “GEN S..Generation Sustainability คนเจนใหม่หัวใจยั่งยืน” สร้างแรงกระเพื่อมการใช้ชีวิตแบบ Net Zero Lifestyles ร่วมกู้โลก

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16 ก.พ. 67)

Tags: , , ,
Back to Top