
เมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2567 ผู้เขียนได้มีโอกาสเสนอผลงานวิชาการในหัวข้อ “Thailand’s contributions to ASEAN CE transition BCG Economic Strategy, focusing on the C-Pillar on Plastics and upcoming packaging directives” โดยเน้นการวิเคราะห์ในประเด็นการพัฒนามาตรฐานการออกแบบเพื่อรีไซเคิล (D4R) ในประเทศไทยและประเทศอาเซียนในการประชุมเชิงปฏิบัติการ “ASEAN Workshop on Circular Economy towards Advancing Sustainability Cooperation in the Region” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ GIZ Circular Economy (CE) Week ณ เมืองบรัสเซลล์ ประเทศเบลเยียม
โดยได้รับโจทย์ที่ท้าทายว่ามาตรฐานการออกแบบเพื่อรีไซเคิลของประเทศไทยนั้นถูกพัฒนาอย่างไร ได้รับและจะส่งผลกระทบต่อนโยบายการส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนของสหภาพยุโรปอย่างไร และหากเปรียบกับประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นแล้วมาตรฐานของประเทศไทยอาศัยเครื่องมือทางกฎหมายเพื่อรองรับมาตรฐานดังกล่าวในรูปแบบหรือลักษณะใด ?
*ภาพรวมของงาน ASEN Workshop on Circular Economy
การประชุมเชิงปฏิบัติการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างเครือข่าย การแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึก และความร่วมมือระหว่างผู้แทนของประเทศอาเซียนที่ได้ดำเนินโครงการเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนเน้นที่ห่วงโซ่คุณค่าของพลาสติก (Plastic Value Chain) โดยมีผู้แทนจากมาเลเซีย เวียดนาม และไทย นอกจากนี้ ยังมีผู้เชี่ยวชาญจากสำนักเลขาธิการอาเซียนและสหภาพยุโรปเข้าร่วมการประชุมอีกด้วย
เนื้อหาสำคัญคือประเทศอาเซียนนั้นมี “โอกาส” จากนโยบายการส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนในสากล อย่างไรก็ตาม กลุ่มประเทศอาเซียนจะต้องเรียนรู้จากการทำงานร่วมกัน และพัฒนานโยบาย ตลอดจนกฎเกณฑ์กติกาเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์และฉลากที่มีความสอดคล้องกัน
เพื่อดำเนินนโยบาย European Green Deal สหภาพยุโรปจำเป็นต้องมีพันธมิตรซึ่งรวมถึงประเทศสมาชิกอาเซียน สหภาพยุโรปจึงได้ส่งคณะทำงานที่ส่งเสริมนโยบาย European Green เข้ามาทำงานร่วมกับรัฐบาลของชาติอาเซียน ตลอดจนให้การสนับสนุนทางการเงินเพื่อทำให้เกิดรูปแบบของการประกอบธุรกิจที่มีความยั่งยืนอย่างแท้จริง (Sustainable Business Model)
โดยรัฐสมาชิกนั้นควรจะสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการประกอบธุรกิจดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างวิสาหกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง สภาพแวดล้อมที่ว่านี้จะต้องช่วยให้วิสาหกิจขนาดเล็กและขนาดกลางสามารถเข้าถึงเงินกู้และองค์ความรู้ต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการประกอบกิจอย่างยั่งยืนได้
อย่างไรก็ตาม ผู้แทนจากสำนักเลขาธิการอาเซียนได้ตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจเอาไว้ว่าประเทศอาเซียนพึงตระหนักว่าสหภาพยุโรปมีความพยายามที่จะโน้มน้าวให้การพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นมีทิศทางและวิธีการแบบที่ยึดเอายุโรปเป็นศูนย์กลาง ทั้งที่ สภาพการณ์ ระดับการพัฒนา และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในยุโรปและในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีความแตกต่างกัน
*การทำให้กฎหมายมีความสอดคล้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ผู้เข้าร่วมการประชุมมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่าประเทศอาเซียนมีการเติบโตทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ผลพวงจากการเติบโตดังกล่าวหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่มีการใช้พลาสติกเพิ่ม และก่อให้เกิดของเสียจากพลาสติก การเติบโตทางเศรษฐกิจและพฤติกรรมการบริโภคในปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงการส่งสินค้าต่าง ๆ ไปยังสหภาพยุโรปนั้นยังไม่อาจเลี่ยงการใช้พลาสติกได้ เช่น การใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติก เมื่อเลี่ยงไม่ได้จึงจำเป็นต้องมีการกำหนดกฎเกณฑ์กติกา หรือมาตรฐานที่ทำให้การผลิต ใช้ กำจัดพลาสติก ตลอดห่วงโซ่คุณค่าของพลาสติกนั้นมีความยั่งยืนและเป็นไปโดยสอดคล้องกับมาตรฐานความหมุนเวียน
กลุ่มประเทศอาเซียนจะตอบได้อย่างไรว่าพลาสติกที่ถูกผลิตและใช้เพื่อบรรจุภัณฑ์นั้นสอดคล้องกับมาตรฐานของเศรษฐกิจหมุนเวียนในระดับสากล และจะเอาหลักเกณฑ์ใดมายืนยันว่าบรรจุภัณฑ์พลาสติกของสินค้าที่ประเทศอาเซียนจะส่งออกไปยังประเทศในสหภาพยุโรปนั้นมีองค์ประกอบจากวัตถุดิบที่เกิดจากการรีไซเคิล การรีไซเคิลนั้นมีมาตรฐานที่ตรงกับมาตรฐานสากล หรือมีจำกัดพลาสติกแบบครั้งเดียวทิ้งหรือไม่เพียงใด
จากมุมมองทางกฎหมายที่ประชุมมีความเห็นว่าประเทศสมาชิกอาเซียนสามารถพัฒนากรอบความร่วมมือเกี่ยวกับมาตรฐานการออกแบบเพื่อการรีไซเคิลสำหรับประเทศอาเซียนได้ โดยเรียกว่าเป็นกระบวนการ “Harmonization of Standards for Plastic and D4R” การมีมาตรฐานหรือกฎระเบียบที่มีศักยภาพจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้การประกอบธุรกิจและการส่งออกสินค้าจากประเทศอาเซียนไปยังตลาดในสภาพยุโรป กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่าการพัฒนากรอบกฎเกณฑ์และกฎระเบียบนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบธุรกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยผู้แทนจากประเทศเวียดนามให้ความเห็นว่ามาตรฐานที่ดี เชื่อถือและตรวจสอบได้นั้นจะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค
อย่างไรก็ตาม ความยากของการพัฒนากรอบมาตรฐานระดับภูมิภาคนั้น ได้แก่ มาตรฐานของสินค้าและผลิตภัณฑ์แต่ละประเภทนั้นอาจมีความแตกต่างกันในรายละเอียด ผู้แทนจากประเทศมาเลเซียแสดงความเห็นว่ามาตรฐาน D4R ในประเทศมาเลเซียนั้นมีมาตรฐานร่วม (Common Standards) แต่มีหลักเกณฑ์ (Criteria) เฉพาะที่หลากหลาย นอกจากนี้ ผู้เขียนยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า ประชาคมอาเซียนนั้นมีความแตกต่างจากสหภาพยุโรป เนื่องจากอาเซียนนั้นมิได้มีอำนาจออกกฎระเบียบหรือข้อบังคับที่จะผูกพันรัฐสมาชิกได้
*องค์ความรู้สำหรับการพัฒนากฎหมายของประเทศไทยเพื่อรองรับเศรษฐกิจหมุนเวียน
ผู้เขียนยังได้ให้ความเห็นต่อไปว่าแม้ประชาคมอาเซียนจะไม่ได้อำนาจออกกฎหมายอาเซียน แต่อย่างไรก็ตาม ประเทศอาเซียนก็มีโอกาสและช่องทางที่พัฒนาศักยภาพของกฎหมายในแต่ละประเทศเพื่อเพิ่มมาตรฐานที่รองรับเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยมีข้อสำคัญที่ว่าแต่ละประเทศต่างสามารถใช้กฎหมายที่ใช้บังคับอยู่แล้วเพื่อรองรับการผลิตและใช้ทรัพยากรที่ส่งเสริมหรือรองรับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนตามมาตรฐานสากล โดยไม่ได้เริ่มจากการคิดว่าต้องตรากฎหมายฉบับใหม่เสมอ
แผนปฏิบัติการด้านการจัดการขยะของประเทศ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2565-2570) สนับสนุนให้มีการเพิ่มวัสดุจากการรีไซเคิลของเสียในกระบวนการในการผลิตตั้งแต่ ปัจจัยการผลิต กระบวนการแปลงสภาพ และสุดท้ายผลผลิต ซึ่งแนวคิดเรื่องการออกแบบเพื่อการรีไซเคิลนั้นจะเป็นองค์ความรู้และปัจจัยที่สำคัญในการขับเคลื่อนจะแปลงนโยบายดังกล่าวให้เกิดขึ้นจริงได้ กล่าวคือ ตัวสินค้าและบรรจุภัณฑ์ของตัวสินค้านั้นถูกต้องออกแบบให้สามารถรีไซเคิลได้ตั้งแต่แรก เช่น การใช้ Mono Materials สำหรับผลิตซองบรรจุภัณฑ์
โดยที่ PTT Global Chemical ได้ให้คำอธิบายว่า Mono Materials เป็นรูปแบบพลาสติกที่มีคุณสมบัติทนต่อการใช้งานได้ดี เช่น ทนอุณหภูมิสูงที่ใช้ในการฆ่าเชื้อด้วยความร้อนได้ ทนอุณหภูมิเย็นจัดสำหรับอาหารแช่แข็งได้ เป็นนวัตกรรมพลาสติกที่ใช้พลังงานและน้ำน้อยกว่าบรรจุภัณฑ์ประเภทอื่น และปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่ชั้นบรรยากาศต่ำกว่า ซึ่งสามารถใช้เป็นบรรจุภัณฑ์ที่สามารถสัมผัสอาหารได้อย่างปลอดภัย อีกทั้งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สามารถนำกลับมารีไซเคิลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คำถามคือ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าการใช้ Mono Materials นั้นเป็นสิ่งที่ช่วยให้การผลิตซองบรรจุภัณฑ์นั้นสอดคล้องกับแนวคิด D4R ในระดับสากล และเมื่อใช้แล้วจะเป็นสิ่งที่ตลาดในต่างประเทศยอมรับ การพัฒนามาตรฐานการออกแบบเพื่อรีไซเคิลในประเทศไทยสามารถอ้างอิงแนวปฏิบัติเช่นมาตรฐาน D4R ที่จัดทำและเผยแพร่โดยองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ซึ่งทำงานร่วมกับกรมควบคุมมลพิษของประเทศไทย และเป็นองค์กรที่ “เข้าใจ” ถึงสิ่งที่ตลาดในสหภาพยุโรปต้องการ
*กฎหมายที่ใช้บังคับอยู่เปิดช่องให้องค์ความรู้ใหม่ ๆ เข้ามามีบทบาทในประเทศไทยได้หรือไม่?
กฎหมายไทยเปิดให้มาตรฐาน D4R ตามแนวทางที่ GIZ เสนอตามมาตรฐานสหภาพยุโรปมาใช้ตามกฎหมายไทยที่มีผลใช้บังคับอยู่โดยไม่ต้องตราพระราชบัญญัติฉบับใหม่ซึ่งอาจจะต้องผ่านกระบวนการนิติบัญญัติที่ยาวนาน ผู้เขียนชวนผู้เข้าร่วมการประชุมให้คิดถึง “กฎหมายพื้นฐาน” ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์คือข้าวหอมมะลิที่เกษตรกรไทยจะส่งออกไปประเทศในสหภาพยุโรป ซึ่งได้แก่พระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด พ.ศ. 2542 พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 และพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522
โดยรวมแล้วกฎหมายพื้นฐานเหล่านี้ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของตัวสินค้าในการบริโภคและการสร้างความเป็นธรรมกับผู้บริโภคหรือผู้ซื้อสินค้า เช่น ข้อมูลที่แสดงบนบรรจุภัณฑ์นั้นจะต้องไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในคุณสมบัติของสินค้า กฎหมายเหล่านี้อาจไม่ได้ถูกออกแบบให้สร้างความหมุนเวียนได้หรือรีไซเคิลได้ของวัสดุที่จะนำมาใช้ทำบรรจุภัณฑ์ คือตัวห่อหรือซองพลาสติกนั้นอาจจะมีความปลอดภัยไม่ก่ออันตรายกับการบริโภค ไม่มีข้อความที่หลอกลวงหรือก่อความเข้าใจผิด แต่ตัวเนื้อพลาสติกนั้นอาจเป็นพลาสติกที่ใช้เม็ดพลาสติกใหม่ (Virgin Plastic) มาใช้ซึ่งจะเป็นการสร้างขยะพลาสติกขึ้นอย่างไม่รู้จบ
อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนพบว่ามาตรฐาน D4R ในประเทศไทยนั้นไม่จำเป็นต้องถูกปรับใช้และให้รายละเอียดโดยผ่านกฎหมายที่มีชื่อว่าพระราชบัญญัติส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนเท่านั้น หากแต่ยังสามารถดำเนินการโดยผ่านพระราชบัญญัติการมาตรฐานแห่งชาติ พ.ศ. 2551 ได้อีกด้วย
มาตรา 3 แห่งกฎหมายฉบับนี้ให้นิยามของ “มาตรฐาน” ให้หมายความรวมถึง ผลิตภัณฑ์ วิธีการ กระบวนการผลิต ส่วนประกอบ โครงสร้าง มิติ ขนาด แบบ รูปร่าง น้ำหนัก ประสิทธิภาพ สมรรถนะ ความทนทาน หรือความบริสุทธิ์ของผลิตภัณฑ์ หีบห่อ การบรรจุหีบห่อ การทำเครื่องหมาย หรือฉลาก ส่วนมาตรา 13 วรรคหนึ่ง (1) ก็ได้ให้อำนาจแก่คณะกรรมการเฉพาะด้านการมาตรฐานประกาศกำหนด แก้ไข หรือยกเลิกมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบและรับรอง โดยที่มาตรฐานนี้เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 13 (1) แห่งพระราชบัญญัติการมาตรฐานแห่งชาติพ.ศ. 2551 คณะกรรมการกำหนดมาตรฐานด้านการตรวจสอบและรับรอง จึงออกประกาศกำหนดข้อตกลงร่วมการประชุมเชิงปฏิบัติการ แนวทางการกำหนดคุณลักษณะของบรรจุภัณฑ์พลาสติกให้สามารถนำกลับมารีไซเคิล สำหรับขวดพลาสติกโพลีเอทิลีนเทเรฟทาเลตสำหรับบรรจุเครื่องดื่ม ขวดพลาสติกโพลีเอทิลีนความหนาแน่นสูงสำหรับบรรจุผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ส่วนบุคคลและผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในครัวเรือน และภาชนะพลาสติกโพลิโพรพิลีน ชนิดคงรูปสำหรับบรรจุอาหารและเครื่องดื่ม เลขที่ข้อตกลงร่วม 4004-2566 โดยที่การจัดทำร่างข้อตกลงร่วมนี้ได้รับความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคจาก Oko-Institut e.V.ut ประเทศเยอรมนีอีกด้วย
ข้อ 7 ของข้อตกลงร่วมกล่าวถึงแนวทางการออกแบบเพื่อการรีไซเคิลสำหรับภาชนะพลาสติก PP ชนิดคงรูปสำหรับบรรจุอาหารและเครื่องดื่ม โดยให้รายละเอียดเกี่ยวกับ “วัสดุ” ว่าต้องทำจากพลาสติกประเภทเดียวกัน คือ โพลีโพรพิลีน (Mono-material PP) โดยมีสัดส่วนของโพลิโพรพิลีน (PP) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ผสมกับโพรพิลีนออกไซด์ (PO) อื่น ได้แก่ โพลีเอทิลีน (PE) ในปริมาณไม่เกินร้อยละ 10 ของส่วนประกอบทั้งหมด ตัวอย่างรายละเอียดนี้แสดงให้เห็นว่าพระราชบัญญัติการมาตรฐานแห่งชาติ พ.ศ. 2551 นั้นสามารถถูกใช้เพื่อเป็นฐานในการออกมาตรฐานที่รองรับแนวคิดสากลเกี่ยวกับการออกแบบที่รองรับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนได้โดยไม่ต้องมีการตรากฎหมายฉบับใหม่
โดยสรุปแล้ว ผู้เข้าร่วมการประชุมจากประเทศต่าง ๆ และผู้แทนทั้งจากสำนักเลขาธิการอาเซียนและสหภาพยุโรปแสดงความเห็นว่าแนวทางที่ผู้เขียนเสนอนี้อาจเรียกได้ว่าเป็น “Practical Step Forward” ที่ประเทศอาเซียนนั้นสามารถดำเนินการได้ทันทีแม้จะยังไม่ใช่กฎเกณฑ์กติกาที่สมบูรณ์แบบ
กล่าวคือ แต่ละประเทศสามารถวิเคราะห์ว่ากฎหมายที่มีอยู่นั้นสามารถถูกใช้ให้เต็มที่เพื่อรองรับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนได้ในมิติใด โดยไม่จำเป็นต้องรอให้มีกฎหมายที่ถูกตราขึ้นโดยเฉพาะเพื่อรองรับนโยบายเศรษฐกิจหมุนเวียน และควรมีการพัฒนากฎหมายเฉพาะคู่ขนานไป ยิ่งกฎหมายพร้อมหรือมีศักยภาพเร็วขึ้น ประเทศอาเซียนย่อมมีโอกาสทางธุรกิจที่จะ “ขาย” สินค้าไปตลาดในสหภาพยุโรปมากขึ้น และที่สำคัญคือช่วยให้ประเทศอาเซียนมุ่งหน้าสู่สังคมที่มีการหมุนเวียนของทรัพยากรได้เร็วยิ่งขึ้น
ผศ.ดร.ปิติ เอี่ยมจำรูญลาภ ผู้อำนวยการหลักสูตร LL.M. (Business Law)
หลักสูตรนานาชาติ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 เม.ย. 67)
เมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2567 ผู้เขียนได้มีโอกาสเสนอผลงานวิชาการในหัวข้อ “Thailand’s contributions to ASEAN CE transition BCG Economic Strategy, focusing on the C-Pillar on Plastics and upcoming packaging directives” โดยเน้นการวิเคราะห์ในประเด็นการพัฒนามาตรฐานการออกแบบเพื่อรีไซเคิล (D4R) ในประเทศไทยและประเทศอาเซียนในการประชุมเชิงปฏิบัติการ “ASEAN Workshop on Circular Economy towards Advancing Sustainability Cooperation in the Region” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ GIZ Circular Economy (CE) Week ณ เมืองบรัสเซลล์ ประเทศเบลเยียม




