“มากุโระ กรุ๊ป” เตรียมขาย IPO Q2/67 โชว์รายได้ปี 66 ทะลุ 1 พันลบ.กำไรโตแรง

นายเอกฤกษ์ แสงเสรีดำรง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บมจ.มากุโระ กรุ๊ป (MAGURO) กล่าวว่า บริษัทฯเตรียมเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 34,060,200 หุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 27.03% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด ในไตรมาส 2 ปี 67

โดยบริษัทฯมีแผนจะนำเงินที่ได้ไปขยายธุรกิจ ด้วยการเปิดสาขาเพิ่ม 11 สาขาในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล, ปรับปรุงสาขาเดิมและปรับปรุงครัวกลาง ติดตั้งและปรับปรุงระบบ IT เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และรองรับการขยายตัวของจำนวนสาขาของบริษัทฯ ในอนาคต รวมถึงเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน

MAGURO ก่อตั้งโดยกลุ่มเพื่อน 4 คน เมื่อ 9 ปีที่แล้วเพื่อประกอบธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นและซูชิภายใต้ปรัชญา “การให้มากกว่าที่ขอ (Give More)” และได้ขยายกิจการมาอย่างต่อเนื่อง ณ วันที่ 15 มีนาคม 2567 MAGURO มีร้านอาหารในเครือทั้งหมด 3 แบรนด์ รวม 26 สาขา คือ 1.) MAGURO ร้านอาหารญี่ปุ่นและซูชิที่มุ่งเน้นการใช้คุณภาพสูงจากประเทศญี่ปุ่น 14 สาขา 2.) SSAMTHING TOGETHER ร้านปิ้งย่างเกาหลีระดับพรีเมียม 6 สาขา และ 3.) HITORI SHABU ร้านชาบูและสุกี้ยากี้หม้อเดี่ยวสไตล์คันไซต้นตำหรับ 6 สาขา นอกจากนี้บริษัทฯ ยังให้บริการจัดส่งอาหาร และรับจัดเลี้ยงนอกสถานที่อีกด้วย

บริษัทฯ มีรายได้รวมและผลกำไรสุทธิที่เติบโตสูงและต่อเนื่อง โดยบริษัทฯมีรายได้รวมในปี 2566 จำนวน 1,045.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.06% จากรายได้รวม 665.85 ล้านบาท ในปี 2565 และมีกำไรสุทธิ 72.48 ล้านบาทในปี 2566 เติบโตสูงถึง 131.12% จากกำไรสุทธิ 31.36 ล้านบาท ในปี 2565 โดยในช่วงวิกฤติโควิด-19 ถึงแม้ภาครัฐมีมาตรการการห้ามเปิดร้านอาหารซึ่งส่งผลกระทบต่อธุรกิจร้านอาหารทั่วประเทศ แต่ MAGURO สามารถแก้ปัญหาและปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังสามารถสร้างผลกำไรได้ในตลอดช่วงวิกฤติดังกล่าว

และเมื่อสถานการณ์โควิดคลี่คลาย บริษัทฯ ได้ขยายธุรกิจเชิงรุกและต่อเนื่อง โดยในปี 2566 เปิดสาขาใหม่จำนวนกว่า 9 สาขา ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภค นอกจากนี้ในปี 2567 บริษัทฯ ยังวางแผนเปิดเพิ่มอีก 11 สาขา เพื่อที่จะสร้างการเติบโตของบริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้รายได้รวมและกำไรสุทธิของ MAGURO เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คือ กลยุทธ์การขยายธุรกิจ จากการเปิดสาขาใหม่ของทั้ง 3 แบรนด์อย่างต่อเนื่อง และการสร้างรายได้ในสาขาเดิมให้เติบโตเพิ่มขึ้น โดยร้านอาหารทั้ง 3 แบรนด์ ได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ปานกลางถึงสูง อีกทั้งบริษัทฯ ใช้กลยุทธ์การตลาดแบบผสมผสานระหว่าง Data Driven และ Customer Experience ด้วยระบบ CRM ทำให้ ณ ปัจจุบัน MAGURO มีสมาชิกมากกว่า 150,000 คน โดยมีรายได้จากสมาชิกคิดเป็น 54.36% จากรายได้รวมธุรกิจร้านอาหาร แสดงให้เห็นถึง loyalty ในแบรนด์ของบริษัทฯ โดยรายได้หลักของบริษัทฯ มาจากร้านอาหารญี่ปุ่น MAGURO คิดเป็น 61.96% ในขณะที่รายได้จากร้านอาหารชาบูและสุกี้ยากี้ HITORI SHABU คิดเป็น 18.94% และรายได้จากร้านปิ้งย่างเกาหลี SSAMTHING TOGETHER คิดเป็น 19.10% ของรายได้จากธุรกิจร้านอาหาร

นางสาวจิรยง อนุมานราชธน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจย์ แคปปิตอล แอดไวเซอรี จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO เป็นบริษัทฯ ที่มีกลุ่มผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่ มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจร้านอาหารระดับ Premium Mass สามารถสร้างแบรนด์ร้านอาหารที่แข็งแกร่ง ด้วยคุณภาพของอาหารระดับพรีเมียมในราคาที่คุ้มค่า ทำให้มีฐานลูกค้าที่มั่นคงและสามารถขยายไปยังฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับการขยายสาขาของแต่ละแบรนด์อย่างต่อเนื่องในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล นอกจากนี้ถึงแม้ว่าธุรกิจร้านอาหารจะมีการแข่งขันกันอย่างเข้มข้น

แต่บริษัทฯ ยังคงโดดเด่นด้วยร้านอาหารถึง 3 รูปแบบ ทั้งร้านอาหารญี่ปุ่นและซูชิ ร้านอาหารชาบูและสุกี้ยากี้สไตล์คันไซต้นตำหรับ และร้านปิ้งย่างเกาหลี ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมร้านอาหารที่มีมูลค่าตลาดสูงและเติบโตต่อเนื่อง นอกจากนี้ MAGURO ยังมีสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง โดยบริษัทฯ ไม่มีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย และมีอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) สูงถึง 26.52% ซึ่งการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ mai จะช่วยให้บริษัทฯ ขยายฐานทุน และสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น

นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บล. ฟินันเซีย ไซรัส (ผู้จัดการการจัดจำหน่าย และรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ) กล่าวว่า MAGURO เป็นบริษัทที่มี Brand Portfolio ที่แข็งแกร่งในตลาดไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ MAGURO เอง รวมถึงแบรนด์ที่เปิดใหม่ทั้ง SSAMTHING TOGETHER และ HITORI SHABU ที่ล้วนได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี และด้วยศักยภาพของแบรนด์ภายใต้การบริหารโดยบริษัทฯ ที่สามารถดึงดูดลูกค้าด้วยชื่อเสียงและคุณภาพของการให้บริการ ทำให้บริษัทฯ มีทางเลือกที่หลากหลายในการเลือกที่ตั้งในการขยายสาขา

โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีสาขาที่อยู่ใน CBD Area เพียงจำนวน 7 สาขา ที่เหลือเป็นสาขาที่อยู่ในกรุงเทพชั้นนอก ส่งผลทำให้ได้รับประโยชน์จากต้นทุนค่าเช่าที่ต่ำกว่า นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีฝ่ายวิจัยและพัฒนาของบริษัทฯ ที่แข็งแกร่ง ทำให้บริษัทฯ สามารถพัฒนาและปรับตัวให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคอยู่เสมอ จากสาเหตุดังกล่าวทำให้รายได้ของบริษัทฯ มีการเติบโตเฉลี่ยถึงปีละ 64.26% ในช่วง 3 ปีล่าสุด

นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีความสามารถในการควบคุมต้นทุน ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทฯ เพิ่มจาก 41.91% ในปี 2565 เป็น 45.17 % ในปี 2566 และส่งผลทำให้อัตรากำไรสุทธิของบริษัทฯ เพิ่มจาก 4.71% ในปี 2565 เป็น 6.93% ในปี 2566 นอกจากนี้บริษัทฯ มีแผนที่จะขยายสาขาเพิ่มอย่างต่อเนื่องในอนาคต เพื่อสร้างการเติบโตที่มั่นคงให้กับบริษัทฯ ในระยะยาว โดยคาดว่าจะเสนอขายหุ้น IPO ได้ ภายในไตรมาส 2 นี้ และน่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างดี

ปัจจุบัน MAGURO มีทุนจดทะเบียน 63.00 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 126,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท โดยเป็นทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว 52.27 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 104,539,800 หุ้น และจะเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 34,060,200 หุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 27.03% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ

ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้ ประกอบด้วยหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 21,460,200 หุ้น คิดเป็นไม่เกิน 17.03% และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย Holistic Impact Pte. Ltd. (“HOLISTIC IMPACT”) จำนวนไม่เกิน 12,600,000 หุ้น คิดเป็นไม่เกิน 10.00%

ทั้งนี้ MAGURO มีโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัทฯ ก่อนและหลังการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ดังนี้ 1.) HOLISTIC IMPACT สัดส่วนก่อนและหลัง IPO อยู่ที่ 28.34% และ 13.52% ตามลำดับ 2.) นายเอกฤกษ์ แสงเสรีดำรง สัดส่วนก่อนและหลัง IPO อยู่ที่ 17.91% และ 14.86% ตามลำดับ  3.) นายชัชรัสย์ ศรีอรุณ สัดส่วนก่อนและหลัง IPO อยู่ที่ 17.91% และ 14.86% ตามลำดับ 4.) นายรณกาจ ชินสำราญ สัดส่วนก่อนและหลัง IPO อยู่ที่ 17.91% และ 14.86% ตามลำดับ 5.) นายจักรกฤติ สายสมบูรณ์ สัดส่วนก่อนและหลัง IPO อยู่ที่ 17.91% และ 14.86% ตามลำดับ และ 6.) ประชาชนทั่วไปหลังการเสนอขาย IPO อยู่ที่ 27.03%

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (26 เม.ย. 67)

Tags: , ,
Back to Top