
นางสาวสุธิดา มงคลสุธี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซินเน็ค (ประเทศไทย) [SYNEX] เปิดผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/68 ทำกำไรสุทธิ 188 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36 ล้านบาท หรือ 23.7% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน มาจากยอดขายและกำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับการควบคุมค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการดำเนินงานโดยตรงอย่างมีวินัยควบคู่ไปกับการขยายธุรกิจ เพื่อรักษาระดับความสามารถในการทำกำไร รวมทั้งกำไรที่ได้จากการลงทุนในบริษัทร่วม สะท้อนถึงความสามารถของบริษัทในการปรับตัวท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ท้าทาย มุ่งเน้นกลยุทธ์ทั้งการเติบโตของรายได้ และการควบคุมต้นทุน เพื่อสร้างความมั่นคงและยั่งยืนทางการเงินระยะยาว
ด้านกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 425 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20 ล้านบาท หรือ 4.9% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมาจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น โดยซินเน็คฯ มุ่งโฟกัสในการเพิ่มสัดส่วนของสินค้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง การขายสินค้าแบบโซลูชั่น ให้บริการมุ่งเน้นความครบวงจร ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยเสริมสร้างคุณค่าให้กับผลิตภัณฑ์ และเพิ่มแรงจูงใจในการซื้อของผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเอนเตอร์ไพรซ์แอนด์โซลูชั่น และกลุ่มคอมเมอร์เชียล เพื่อสร้างการเติบโตของกำไรขั้นต้นในระยะยาว รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจโดยรวมได้
ทั้งนี้ SYNEX มีรายได้รวมจากการขายและบริการ 11,160 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,555 ล้านบาท หรือ 16.2 % เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/67 ของปีก่อนหน้าที่มีรายได้รวม 9,605 ล้านบาท โดยได้รับแรงหนุนจากยอดขายที่เติบโตในหลายกลุ่มสินค้า ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้นเพียง 8.7% สะท้อนถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ
โดยความสำเร็จของยอดขายที่เติบโตอย่างโดดเด่นมาจากการขยายตัวกลุ่มสินค้า ดังนี้
กลุ่มผลิตภัณฑ์ Apple มีรายได้เติบโต 565 ล้านบาท คิดเป็น 17% จากการเปิดตัวสินค้าใหม่ในช่วงต้นเดือนมีนาคม ด้วยสเปคและฟีเจอร์ ประกอบกับราคาที่คุ้มค่า ทำให้ลูกค้ามีความต้องการซื้อเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ซินเน็คฯ ใช้กลยุทธ์เชิงรุกขยายจุดจำหน่ายร้านค้ารายย่อย และกลยุทธ์การขายแบบ Solution-Based Offering เน้นการนำเสนอผลิตภัณฑ์ร่วมกับบริการและซอฟต์แวร์ที่ตอบโจทย์อย่างครบวงจรให้กับกลุ่มลูกค้าองค์กร และการศึกษา ทำให้กระตุ้นยอดขายโดยรวมสูงขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ
กลุ่มผลิตภัณฑ์มือถือและอุปกรณ์ เติบโต 766 ล้านบาท คิดเป็น 83% จากการพัฒนาเทคโนโลยี AI ที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการเปลี่ยนอุปกรณ์ของผู้บริโภค ส่งผลให้ตลาดสมาร์ทโฟนมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มสมาร์ทโฟนจากแบรนด์ชั้นนำอื่นๆ เช่น Samsung, Huawei และ HONOR ที่สร้างการเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง และช่วยผลักดันยอดขายในกลุ่มสมาร์ทโฟนโดยรวมให้เติบโตในอัตราที่สูงขึ้น นอกจากนี้ กลุ่มผลิตภัณฑ์นาฬิกาอัจฉริยะ (Smart Watch) ก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ในการใช้งานที่ตอบสนองความต้องการด้านสุขภาพและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค ทำให้อัตราการเติบโตของรายได้ยังอยู่ในระดับสูง
กลุ่มคอมเมอร์เชียล เติบโต 221 ล้านบาท คิดเป็น 19% แรงหนุนจากการขยายตัวของคอมพิวเตอร์และโน้ตบุ๊ก ผลจากปัจจัยในการเปลี่ยนผ่านระบบปฏิบัติการจาก Windows10 สู่ Windows11 ที่กระตุ้นให้หลายหน่วยงานเริ่มทยอยอัปเกรดอุปกรณ์ ขณะเดียวกัน AI PC ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยเร่ง เข้ามามีส่วนสำคัญที่ภาคธุรกิจเริ่มหันมาลงทุนในอุปกรณ์ไอทีที่มีขีดความสามารถสูงและรองรับการทำงานที่ซับซ้อนได้มากขึ้น นอกจากนี้กลุ่มผลิตภัณฑ์กล้องวงจรปิด(CCTV) ก็ยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
กลุ่มเอนเตอร์ไพรซ์แอนด์โซลูชั่น เติบโต 62 ล้านบาท คิดเป็น 9% ซึ่งได้รับแรงผลักดันจากความต้องการใช้งานซอฟต์แวร์ระดับมืออาชีพ เช่น Autodesk ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในภาคอุตสาหกรรม ออกแบบวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม ทั้งนี้ยังได้รับแรงหนุนจากเทคโนโลยีด้านเครือข่าย โดยเฉพาะในส่วนของโครงสร้างพื้นฐาน ที่รองรับการเชื่อมต่อความเร็วสูงและมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้หลายองค์กร มีแนวโน้มเพิ่มการลงทุนในโซลูชั่นไอทีที่ตอบโจทย์ทั้งด้านประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และความสามารถในการขยายธุรกิจระยะยาว
อย่างไรก็ดี สินค้ากลุ่มคอนซูเมอร์ แม้ยอดขายลดลง 103 ล้านบาท คิดเป็น -3% แต่มีแนวโน้มที่ปรับตัวดีขึ้นเรื่อย ๆ จากการเร่งเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ รับฟีเจอร์ AI รวมถึงเตรียมพร้อมการออกแบบสินค้าให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เพื่อรองรับการประมวลผลที่ซับซ้อนมากขึ้นในอนาคต ส่งผลให้กลุ่มผลิตภัณฑ์ประเภท Storage และ Memory มีแนวโน้มการเติบโตในอัตราที่เร่งตัวขึ้นด้วยเช่นกัน เพื่อรับซอฟต์แวร์ที่ต้องใช้พื้นที่จัดเก็บขนาดใหญ่มากขึ้น นอกจากนี้ยังเห็นทิศทางการเติบโตจากกลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก(SME) โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องพิมพ์(Printer) อีกด้วย
กลุ่มเกมมิ่งแอนด์แก็ดเจ็ต ยอดขายรวมลดลง 36 ล้านบาท สาเหตุลดลงจากการชะลอตัวของกลุ่มสินค้า Gaming โดยเฉพาะแบรนด์ Nintendo สะท้อนถึงความคาดหวังในตลาดต่อผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ ซึ่งมีกำหนดวางจำหน่าย Nintendo Switch 2 ในช่วงกลางปี 68 นี้ ที่มาพร้อมกับคุณสมบัติใหม่และประสิทธิภาพที่ดีขึ้น คาดว่าจะช่วยกระตุ้นความต้องการในตลาดและดึงยอดขายให้กลับมาเติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญในช่วงครึ่งปีหลัง
“ในปี 68 แม้เป็นปีที่ท้าทาย แต่บริษัทมองเห็นโอกาสการเติบโตจากทั้งสภาวะเศรษฐกิจไทยที่ปรับตัวดีขึ้น นโยบายการเงินผ่อนคลายกระตุ้นการใช้จ่าย รวมถึงสัญญาณฟื้นตัวของภาคเอกชนในกลุ่มส่งออกและอุตสาหกรรมหลัก ขณะเดียวกันกระแสดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันยังเดินหน้าต่อเนื่อง ทั้งการลงทุนในศูนย์ข้อมูล (Data Center) การใช้ AI และระบบอัตโนมัติในภาคธุรกิจ การเติบโตของ Cloud Computing รวมถึง Digital Payment และ E-Commerce ที่สอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภค สะท้อนจากไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ทำให้ซินเน็คฯ เชื่อมั่นว่า ปีนี้จะสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
นอกจากนี้ บริษัทยังเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจบนแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ล่าสุดได้รับใบประกาศเกียรติคุณจากโครงการ LESS ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการลดก๊าซเรือนกระจกและสร้างสังคมคาร์บอนต่ำ ผ่านกิจกรรมและโครงการที่สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกทั้งภายในองค์กรและต่อสังคมโดยรวม” นางสาวสุธิดา กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16 พ.ค. 68)
Tags: SYNEX, ซินเน็ค, สุธิดา มงคลสุธี, หุ้นไทย