คาดปี 68 อุปสงค์น้ำมันเชื้อเพลิงไทยโต 0.7% ตามแรงหนุนจากภาคขนส่ง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ในปี 68 อุปสงค์น้ำมันเชื้อเพลิงไทย คาดว่าจะโต 0.7% โดยความต้องการในตลาดภาคขนส่ง มีโอกาสขยายตัว 1% จากการเพิ่มขึ้นของผลผลิตทางการเกษตร และการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล ขณะที่ความต้องการในภาคอุตสาหกรรมจะลดลง 1.4% ตามกิจกรรมการผลิตที่มีแนวโน้มหดตัว

นอกจากนี้ ความต้องการน้ำมันเชื้อเพลิงในภาคการผลิตไฟฟ้าไทยก็คาดว่าจะลดลง 14.6% ในปี 68 เนื่องจากมีการกลับมาใช้ก๊าซธรรมชาติจากแหล่งก๊าซธรรมชาติเอราวัณเพื่อผลิตไฟฟ้า

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศไทยแบ่งเป็น 3 ตลาด คือ 1. ภาคขนส่ง ซึ่งมีสัดส่วนความต้องการมากที่สุดราว 86% ตามมาด้วย 2. ภาคอุตสาหกรรม 14% และ 3. ภาคการผลิตไฟฟ้า 0.1% โดยอุปสงค์น้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศปี 68 คาดว่าจะขยายตัวราว 0.7% โดยความต้องการในภาคขนส่งมีแนวโน้มโต 1% ในขณะที่ความต้องการในภาคอุตสาหกรรม และภาคการผลิตไฟฟ้าที่มีสัดส่วนน้อยจากอุปสงค์ในไทย คาดว่าจะลดลง 1.4% และ 14.6% ตามลำดับ

1. ตลาดภาคขนส่ง

การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดภาคขนส่งไทย แบ่งเป็น 2 ประเภท คือน้ำมันดีเซล ซึ่งใช้ในรถเพื่อการพาณิชย์ (รถบรรทุก รถกระบะ และรถโดยสาร) กับน้ำมันเบนซิน ที่ใช้ในรถยนต์นั่งและจักรยานยนต์

– น้ำมันดีเซล: ความต้องการน้ำมันดีเซลในภาคขนส่งไทย คาดว่าจะขยายตัว 1.3% ในปี 68 เพราะการขนส่งสินค้าภาคเกษตรโดยรถบรรทุกหรือกระบะที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น จากผลผลิตเกษตรที่จะขยายตัวตามปริมาณน้ำที่มากขึ้น จากการเปลี่ยนผ่านสู่ปรากฏการณ์ลานีญา เมื่อเทียบกับในช่วงครึ่งแรกของปี 67 ที่ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรหมวดพืชผล หดตัวกว่า 5% เนื่องจากประสบภาวะภัยแล้งจากปรากฏการณ์เอลนีโญ

ในขณะที่ความต้องการน้ำมันดีเซลในการขนส่งนักท่องเที่ยวโดยรถโดยสารในปีนี้ มีแนวโน้มชะลอลง จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้าสู่ไทยมีทิศทางเติบโตช้าลง จากฐานที่สูงในปีก่อนหน้า

อย่างไรก็ดี อุปสงค์น้ำมันดีเซลในภาคขนส่ง จะได้รับแรงกดดันจากระดับราคาดีเซลขายปลีกที่ยังทรงตัวสูง เนื่องจากไทยมีการใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการตรึงราคาน้ำมันดีเซลขายปลีก ทว่ากองทุนดังกล่าวมีฐานะขาดดุลสูง จึงอาจไม่สามารถปรับลดราคาน้ำมันดีเซลขายปลีกให้ต่ำลงตามราคาน้ำมันดิบดูไบที่มีแนวโน้มลดลงในปี 68 โดยคาดว่าจะมีค่าเฉลี่ยราว 70 ดอลลาร์ฯ/บาร์เรลในปีนี้ เมื่อเทียบกับ 80 ดอลลาร์ฯ/บาร์เรลในปี 67

– น้ำมันเบนซิน: ในปี 68 ความต้องการน้ำมันเบนซินในภาคขนส่งไทย คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.5% จากที่ขยายตัวตัว 0.1% ในปี 67 เนื่องจากราคาน้ำมันเบนซินจะปรับตัวตามราคาน้ำมันดิบดูไบที่อยู่ในทิศทางขาลง ซึ่งจะเป็นแรงหนุนให้อุปสงค์เบนซินมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามปริมาณการใช้รถยนต์ที่เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ ราคาน้ำมันเบนซินขายปลีกไทยในปีนี้ คาดว่าจะลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เพราะราคาน้ำมันเบนซินขายปลีกไม่ได้ถูกตรึงราคาดังเช่นน้ำมันดีเซล อย่างไรก็ดี กำลังซื้อผู้บริโภคที่ยังไม่ฟื้นตัวดีนัก และจำนวนรถ xEV ที่สูงขึ้น จะทำให้ความต้องการน้ำมันเบนซินในปีนี้ มีโอกาสขยายตัวเพียงเล็กน้อย

2. ตลาดภาคอุตสาหกรรม

ตลาดภาคอุตสาหกรรมไทย ใช้น้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิงหลักในกลุ่มเครื่องจักร หรือเครื่องยนต์ เช่น เครื่องจักรกลการเกษตร รถเคลื่อนย้ายวัตถุดิบ หรือสินค้าในโรงงาน (รถลากจูง/ โฟล์คลิฟท์) และเครื่องจักรกลในงานก่อสร้าง เป็นต้น

สำหรับอุปสงค์น้ำมันดีเซลในภาคอุตสาหกรรมไทยในปี 68 คาดว่าจะหดตัว 1.4% เพราะถึงแม้อุปสงค์น้ำมันดีเซลในภาคอุตสาหกรรม จะได้รับแรงหนุนจากการใช้เครื่องจักรกลการเกษตรที่จะเพิ่มขึ้น ตามการเติบโตของผลผลิตเกษตร และการใช้เครื่องจักรกลสำหรับงานก่อสร้าง โดยเฉพาะจากการก่อสร้างภาครัฐ ที่กลับมาดำเนินการได้หลังจากการเบิกจ่ายงบประมาณที่ล่าช้าในปี 67 แต่กิจกรรมการผลิตที่หดตัวต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ก็เป็นแรงกดดันสำคัญให้กับความต้องการน้ำมันดีเซลสำหรับเครื่องจักรในโรงงานมีทิศทางลดลง

3. ตลาดภาคการผลิตไฟฟ้า

ความต้องการน้ำมันดีเซลในภาคการผลิตไฟฟ้าไทย คาดว่าจะลดลง 14.6% จากที่หดตัว 73.1% ในปี 67 แต่ไม่ได้มีนัยกับอุปสงค์น้ำมันเชื้อเพลิงไทยเพราะสัดส่วนต่ำ โดยก่อนปี 65 การใช้น้ำมันดีเซลเพื่อผลิตไฟฟ้าในไทย มักมีสัดส่วนที่น้อยกว่า 0.1% ของปริมาณเชื้อเพลิงทุกประเภทที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า

อย่างไรก็ตาม ในปี 65 สัดส่วนเชื้อเพลิงดีเซลที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้ากลับเพิ่มขึ้นแตะ 0.8% เพราะแหล่งก๊าซธรรมชาติเอราวัณหมดอายุสัมปทาน และอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่ผู้ประกอบการรายใหม่ ทำให้อุปทานก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าหลักของไทย เผชิญภาวะตึงตัว ส่งผลให้มีการใช้เชื้อเพลิงดีเซลเพื่อผลิตไฟฟ้ามากขึ้น

อย่างไรก็ดี แหล่งก๊าซธรรมชาติเอราวัณทยอยเพิ่มกำลังการผลิต และกลับมาผลิตได้ตามปกติในช่วงต้นปี 67 ทำให้การใช้เชื้อเพลิงดีเซลเพื่อผลิตไฟฟ้ามีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 0.055 ล้านลิตร/วันในปี 68

  • ความเสี่ยงของตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงไทย ในระยะกลาง-ยาว

– แนวโน้มการเปลี่ยนมาใช้รถ xEV กระทบต่อความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงฟอสซิล โดยปัจจุบันค่ายรถยนต์ โดยเฉพาะค่ายญี่ปุ่นกำลังอยู่ระหว่างปรับกลุ่มรถยนต์นั่งมาตรฐานที่ขายในท้องตลาด จากเดิมที่เป็นรถยนต์นั่งสันดาปภายใน (ICE) ไปสู่กลุ่มรถยนต์นั่งไฮบริดที่ประหยัดการใช้พลังงานเชื้อเพลิง พร้อมเริ่มทยอยเปิดตัว และทำตลาดรถกระบะไฮบริดในไทยในอนาคตอันใกล้

นอกจากนี้ ภาครัฐก็มีการตั้งเป้าหมายผลิตรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้อย่างน้อย 30% ของการผลิตรถยนต์ในประเทศในปี 73 ตามนโยบาย 30@30 โดยปัจจุบันการผลิตรถ BEV ในไทยยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้น และมีสัดส่วนไม่ถึง 1% ของการผลิตรถยนต์ในประเทศ อย่างไรก็ดี จำนวนรถยนต์ไฟฟ้าสะสม (BEV) บนท้องถนนไทย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรถนำเข้า ก็มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยในปี 67 ยอดขายรถ BEV ใหม่โดยเฉพาะรถยนต์นั่งมีสัดส่วนสูงราว 20% ของยอดขายรถยนต์นั่งใหม่

– กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่กดดันการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงฟอสซิลต่อเนื่องในอนาคต อาทิ พ.ร.บ. Climate Change ที่ภาครัฐมีแผนจะประกาศบังคับใช้ภายในปี 70 อาจจะทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัว เพื่อลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง เช่น การเปลี่ยนไปใช้เครื่องจักรกลไฟฟ้ามากขึ้นในภาคก่อสร้างและการเกษตร เป็นต้น นอกจากนี้ ร่างแผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2567-2580 (Oil Plan 2024) ยังมุ่งเน้นเปลี่ยนรถโดยสารสาธารณะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า

– บนภาพความท้าทายในระยะยาว ที่อุตสาหกรรมน้ำมันเชื้อเพลิงต้องทยอยเผชิญแรงกดดันจากการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดที่เพิ่มขึ้น ผู้ประกอบการไทยอาจจะต้องเริ่มเตรียมการ และขยายการลงทุนในกลุ่มธุรกิจพลังงานสะอาด แม้ว่าในระยะเฉพาะหน้า ตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงยังมีทิศทางเติบโต เพื่อสร้างรายได้ส่วนเพิ่มและเตรียมพร้อมรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมที่ใช้แต่พลังงานสะอาดในอนาคต โดยในปัจจุบัน ผู้ประกอบการมีการเริ่มปรับตัว เช่น การลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ทั้งในและต่างประเทศ เป็นต้น

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 พ.ค. 68)

Tags: , ,
Back to Top