
สภาองค์กรผู้บริโภค ระบุว่า ตามที่ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลางเมื่อวันที่ 27 พ.ค.68 ขอให้เพิกถอนประกาศของคณะกรรมการกิจการโทรทัศน์ กิจการกระจายเสียง และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และสำนักงาน กสทช. กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประมูลคลื่นความถี่ของคลื่น 2100 และ 2300 MHz ซึ่งอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ทั้งในด้านขั้นตอน วิธีการ เงื่อนไข และการไม่สะท้อนโครงสร้างตลาดโทรคมนาคมที่แท้จริง ที่ปัจจุบันมีผู้ให้บริการหลักเพียงสองรายโดยไม่มีมาตรการป้องกันการผูกขาดนั้น
ล่าสุด นายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา รองเลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค เปิดเผยว่า ศาลปกครองกลางมีคำสั่งรับคำฟ้องไว้พิจารณา และจะมีการพิจารณาเกี่ยวกับวิธีการคุ้มครองชั่วคราวต่อไป แม้ศาลจะพิจารณาแล้วว่ายังไม่มีเหตุเร่งด่วนเพียงพอที่จะเปิดการไต่สวนฉุกเฉินในขณะนี้ก็ตาม
นายอิฐบูรณ์ กล่าวว่า การที่สภาผู้บริโภคยื่นคำร้องต่อศาลด้วยความเร่งด่วน เนื่องจากวันนี้เป็นวันเปิดให้ยื่นคำขอเข้าร่วมประมูลคลื่นความถี่ จึงเห็นว่าหากไม่มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวจากศาลฯ อาจส่งผลเสียต่อทั้งผู้บริโภค ประเทศชาติ และผู้ประกอบการเอง เนื่องจากการประมูลภายใต้หลักเกณฑ์ที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้เกิดการผูกขาดทางตลาดอย่างถาวร ส่งผลให้ผู้บริโภคเผชิญกับบริการที่ไม่มีทางเลือก ค่าบริการอาจสูงขึ้นสวนทางกับคุณภาพ ขณะที่รัฐสูญเสียรายได้จากราคาประมูลที่ต่ำเกินจริง ผู้ประกอบการที่เตรียมเข้าร่วมประมูลอาจเสียเวลาและต้นทุนโดยไม่จำเป็น รวมถึงผู้ประกอบการรายใหม่ขาดโอกาสเข้าสู่ตลาดอย่างเป็นธรรม
ด้านนางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการนโยบาย สภาผู้บริโภค และอดีตกรรมการ กสทช. กล่าวว่า การฟ้องครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะหน่วยงานรัฐ และ กสทช. เพิกเฉยต่อเสียงของผู้บริโภค ทั้งที่ได้ยื่นหนังสือและข้อเรียกร้องมาหลายครั้ง สภาผู้บริโภคจึงต้องใช้ช่องทางศาลเพื่อให้ความยุติธรรมเกิดขึ้นในระบบโทรคมนาคม
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (29 พ.ค. 68)
Tags: กสทช., ประมูลคลื่นความถี่, ศาลปกครอง, สภาผู้บริโภค