
ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2565 พบว่ามีขยะอิเล็กทรอนิกส์มากถึง 439,500 ตัน ส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าสู่ระบบการจัดการอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ มีการถอดแยกชิ้นส่วนในลักษณะที่ไม่ปลอดภัย ไม่ถูกสุขลักษณะ และไม่มีการควบคุมสารอันตราย การเผาสายไฟ การทุบกระจกหน้าจอ การปล่อยน้ำมันหล่อลื่นจากตู้เย็น ส่งผลให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เกิดสารพิษปนเปื้อนทั้งในอากาศ ดิน น้ำ และสุขภาพของประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ ขณะเดียวกันรัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องแบกรับภาระงบประมาณในการจัดการของเสียอันตราย โดยไม่มีระบบที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพรองรับ
ด้วยเหตุดังกล่าวรัฐบาลโดยกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จึงได้เสนอร่างพระราชบัญญัติการจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (“ร่างพระราชบัญญัติ WEEE”) โดยมีเป้าหมายในการวางกรอบกฎหมายใหม่เพื่อจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่างเป็นระบบ ด้วยการนำหลักการความรับผิดชอบของผู้ผลิต (Extended Producer Responsibility – EPR) มาใช้ เพื่อผลักดันให้ผู้ผลิตและผู้นำเข้าแบกรับภาระในการเก็บคืน ถอดแยก รีไซเคิล และกำจัดซากผลิตภัณฑ์ของตนเองอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ
การจัดทำร่างกฎหมายฉบับนี้อ้างอิงจากแนวทางการจัดการของต่างประเทศ ทั้งแบบองค์กรกลางโดยเอกชน เช่น เยอรมนี สวิสเซอร์แลนด์ และแบบกองทุนรัฐ เช่น จีน ซึ่งประเทศไทยเลือกใช้รูปแบบองค์กรจัดการซาก (Producer Responsibility Organization – PRO) ที่ให้ภาคเอกชนรวมกลุ่มกันบริหารจัดการระบบโดยรัฐทำหน้าที่กำกับและอำนวยความสะดวก
ในร่างพระราชบัญญัติการจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (WEEE) ได้ให้คำจำกัดความของคำว่า “ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์” ไว้อย่างชัดเจนในมาตรา 4 ว่า ได้แก่
“(1) เครื่องใช้หรืออุปกรณ์ที่ต้องอาศัยกระแสไฟฟ้าหรือสนามแม่เหล็กไฟฟ้าในการทำงาน” เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ
“(2) เครื่องใช้หรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิต เก็บ ส่ง หรือวัดกระแสไฟฟ้าหรือสนามแม่เหล็กไฟฟ้า” เช่น แบตเตอรี่ หม้อแปลงไฟฟ้า แผงวงจรไฟฟ้า สายไฟ และมิเตอร์ไฟฟ้า เป็นต้น
ผลิตภัณฑ์เหล่านี้เมื่อหมดอายุการใช้งานหรือชำรุดเสียหายจะกลายเป็น “ซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์” ซึ่งมีคุณสมบัติที่แตกต่างจากขยะทั่วไป เนื่องจากมีส่วนประกอบของวัสดุที่มีมูลค่า เช่น ทองแดง อลูมิเนียม และโลหะหายาก ตลอดจนสารอันตราย เช่น ตะกั่ว ปรอท แคดเมียม และสารหน่วงการติดไฟ ที่หากไม่ได้รับการจัดการอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการอาจก่อให้เกิดผลกระทบร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน
ภายใต้กฎหมายนี้ ผู้ผลิตและผู้นำเข้าจะต้องขึ้นทะเบียน จัดทำแผนการจัดการซากผลิตภัณฑ์ รายงานผลการดำเนินการ และรับผิดชอบต่อการคืนซากจากผู้บริโภคผ่านเครือข่ายที่ได้รับอนุญาต นอกกจากนี้ ยังเปิดโอกาสให้มีการจัดตั้งองค์กรจัดการซากผลิตภัณฑ์ (PRO) โดยผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าหลายรายสามารถรวมกลุ่มกันเพื่อบริหารจัดการซากผลิตภัณฑ์ร่วมกันได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการและลดภาระของแต่ละราย
ในส่วนของผู้บริโภค ร่างพระราชบัญญัติกำหนดให้มีหน้าที่ในการส่งคืนซากผลิตภัณฑ์ไปยังจุดรับคืนที่กำหนดเท่านั้น เช่น ศูนย์รับคืนซากผลิตภัณฑ์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือเครือข่ายรับคืนซากผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการขึ้นทะเบียน โดยห้ามทิ้งซากผลิตภัณฑ์ปะปนกับขยะทั่วไปหรือทิ้งในที่สาธารณะ และกฎหมายยังเปิดโอกาสให้กลุ่มอื่น ๆ เช่น ซาเล้งหรือรถเร่ เข้าร่วมในระบบอย่างถูกกฎหมายในฐานะเครือข่ายรวบรวม โดยทั้งหมดจะดำเนินการภายใต้การกำกับดูแลของรัฐ ผ่านกลไกทางปกครองและระบบอิเล็กทรอนิกส์
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีบทบาทสำคัญในการจัดตั้งและบริหารศูนย์รับคืนซากผลิตภัณฑ์ในพื้นที่ของตน โดยเฉพาะในเขตเมืองที่มีประชากรหนาแน่น เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในการส่งคืนซากผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ ยังมีหน้าที่ในการกำกับดูแลและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การจัดการซากผลิตภัณฑ์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
เป้าหมายของกฎหมายนี้คือการเพิ่มอัตราการจัดการซากผลิตภัณฑ์อย่างถูกต้องตามกฎหมายให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 30 ต่อปี และนำวัสดุมีค่ากลับมาใช้ใหม่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของน้ำหนักรวมของซากผลิตภัณฑ์ โดยคาดว่าจะส่งผลให้เกิดการลงทุนใหม่ในธุรกิจรีไซเคิลและขนส่ง การจ้างงานเพิ่มขึ้น ลดภาระขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และลดการปนเปื้อนของสารอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน
แม้ว่าร่างพระราชบัญญัติ WEEE จะมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการจัดการซากผลิตภัณฑ์อย่างเป็นระบบและยั่งยืน แต่การนำไปปฏิบัติจริงยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ เช่น ความพร้อมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดตั้งและบริหารศูนย์รับคืนซากผลิตภัณฑ์, การขาดการสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชน โดยเฉพาะผู้ผลิตและผู้นำเข้า ที่อาจมีความกังวลเกี่ยวกับต้นทุนและภาระหน้าที่เพิ่มเติมจากการปฏิบัติตามกฎหมายใหม่, การบูรณาการแรงงานนอกระบบ เช่น ซาเล้งหรือรถเร่ เข้าสู่ระบบการจัดการอย่างเป็นทางการ, การสร้างความตระหนักรู้และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคในการส่งคืนซากผลิตภัณฑ์ และความทับซ้อนของกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์
ดังนั้น เพื่อให้ร่างพระราชบัญญัติ WEEE สามารถบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรม ภาครัฐจำเป็นต้องกำหนดมาตรการรองรับที่ชัดเจน ควบคู่กับการสร้างกลไกสนับสนุนในทุกระดับ ทั้งในด้านงบประมาณ บุคลากร การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคส่วน การสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ ตลอดจนการพัฒนาระบบฐานข้อมูลและระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่เชื่อมโยงกัน เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างบูรณาการและต่อเนื่อง
ร่างพระราชบัญญัติ WEEE จะไม่เพียงแต่เป็นกลไกด้านกฎหมายเพื่อจัดการซากผลิตภัณฑ์อย่างปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนที่เข้มแข็ง และยั่งยืน หากสามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่องและสอดประสานกันทุกภาคส่วน ก็จะช่วยให้ประเทศไทยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากร และเสริมสร้างศักยภาพของอุตสาหกรรมรีไซเคิลในประเทศได้อย่างแท้จริง
ดุษดี ดุษฎีพาณิชย์
ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายการค้า การลงทุน และอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (04 มิ.ย. 68)
Tags: SCOOP, Smart Green, WEEE, ความยั่งยืน, เครื่องใช้ไฟฟ้า