
รายงานของไฟแนนเชียล ไทมส์ (Financial Times – FT) ในวันพฤหัสบดี (5 มิ.ย.) ระบุว่า นักลงทุนสถาบันรายใหญ่กำลังถอนตัวออกจากสหรัฐฯ ในขณะที่สงครามการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ และหนี้สาธารณะที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วกำลังสั่นคลอนความเชื่อมั่นในสินทรัพย์สหรัฐฯ
รายงานระบุว่า “นโยบายการค้าที่ไม่แน่นอนของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้สั่นคลอนตลาดโลกในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา และจุดชนวนการเทขายสกุลเงินดอลลาร์ และทำให้หุ้นในตลาดวอลล์สตรีทปรับตัวตามหลังคู่แข่งจากยุโรปในปีนี้”
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ผู้บริหารระดับสูงของบริษัททุนเอกชนขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของสหรัฐฯ กล่าวถึง “วันแห่งการปลดปล่อยอเมริกา” ของทำเนียบขาว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลสหรัฐฯ เปิดตัวมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรเป็นวงกว้างกับคู่ค้ารายต่าง ๆ ว่า เป็น “สัญญาณเตือนให้หลายคนตระหนักว่าพวกเขาลงทุนในสหรัฐฯ มากเกินไป” จนนักลงทุนสถาบันหลายรายต้องทบทวนสัดส่วนการลงทุนของตนในสหรัฐฯ อีกครั้ง
นอกจากนี้ รายงานยังอ้างถึง Caisse de depot et placement du Quebec ซึ่งเป็นกองทุนบำนาญที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของแคนาดา ที่ระบุว่า กองทุนจะลดความเสี่ยงจากสหรัฐฯ และเพิ่มการลงทุนในอังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนี
โจอานา โรชา สคาฟฟ์ หัวหน้าฝ่ายหุ้นเอกชนในยุโรปของนิวเบอร์เกอร์ เบอร์แมน (Neuberger Berman) บริษัทการลงทุนซึ่งตั้งอยู่ในนิวยอร์กระบุว่า บริษัทได้ร่วมลงทุนในหุ้นเอกชนในยุโรปถึง 65% ในปีนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 20-30% ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน ริชาร์ด โอลด์ฟิลด์ หัวหน้าผู้บริหารของชโรเดอร์ส (Schroders) บริษัทผู้จัดการสินทรัพย์อังกฤษกล่าวกับไฟแนนเชียล ไทมส์ว่า “เราเริ่มเห็นสัญญาณเบื้องต้นของนักลงทุนที่เริ่มเบนเข็มออกจากสหรัฐฯ แล้ว”
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (06 มิ.ย. 68)
Tags: นักลงทุนสถาบัน, สงครามการค้า, สหรัฐ, หนี้สาธารณะ